เรื่องสำคัญเช่นนี้ ครอบครัวของลุงใหญ่ก็ถูกเรียกมาด้วยเช่นกัน
แม่สื่อตู้ดูอายุอานามราวสามสิบห้าสามสิบหกปี เป็นสตรีที่ยังทรงสเน่ห์ ประวัติชีวิตของนางออกจะโลดโผนสักหน่อย เดิมทีนางเป็นเด็กที่ถูกตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในตำบลหนึ่งซื้อมาด้วยเงินสิบตำลึง เพื่อมาเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาเป็นภรรยาของบุตรชาย เข้ามาอยู่ในบ้านสามีตั้งแต่อายุห้าขวบ แม้จะบอกว่ามาเป็นลูกสะใภ้ แต่ลูกชายของบ้านนั้นก็ไม่ลูกแท้ๆ รสชาติของความขมขื่นเช่นนี้มีเพียงผู้ที่เคยประสบพบเจอจึงจะเข้าใจ กว่าจะผ่านมาได้จนถึงอายุสิบห้า จึงจะได้ร่วมหอกับสามี ทว่าสามีกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ภายในคืนเดียวก็สร้างหนี้เอาไว้ท่วมหัว
สามีของนางจำต้องขายทรัพย์สมบัติในบ้าน และจ่ายหนี้จนหมด พวกเขานั้นยากจนกระทั่งโจ๊กยังไม่มีปัญญากิน พ่อสามีทนความลำบากไม่ไหวด่วนจากไปเสียก่อน แม่สามีล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น สามีก็บาดเจ็บจนไม่สามารถทำงานได้ ในตอนแรกแม่นางตู้ออกไปรับงานเย็บปักถักร้อย หลังจากนั้นก็พบว่างานเหล่านี้ไม่เพียงพอสำหรับจุนเจือครอบครัว ดังนั้นจึงขายตนเอง แล้วนำเงินไปให้แม่สามีและสามีรักษาตัว
หลังจากนั้น แม่สื่อตู้ก็ถูกพ่อค้าคนกลางพาไปยังเมืองหลวง โชคดีที่นางถูกข้าราชการคนหนึ่งซื้อตัวไป และทำงานเป็นบ่าวอยู่ในบ้านนั้นหลายปี หลังจากเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง นางจึงเปิดร้านเล็กๆ ขายงานเย็บปักถักร้อย เดิมทีคิดว่าจะทำธุรกิจด้านนี้อย่างจริงจัง แต่ไหนเลยจะรู้ว่าตนเคยไปเป็นแม่สื่อให้ผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่หลายคู่ หลังจากนั้นก็มีตระกูลใหญ่มาเชิญนางไปเป็นแม่สื่อมากขึ้นเรื่อยๆ จนนางผันตัวไปเป็นแม่สื่อ
แม่สื่อตู้กล่าวว่า “วันนี้ข้ามาก็เพื่อพูดเรื่องการแต่งงานของเด็กทั้งสอง” แม่นางตู้พูดด้วยสีหน้าเปี่ยมความยินดี
ในทัศนะของอวี๋หวั่น แม่สื่อมักจะเป็นผู้หญิงวัยกลางคน สวมผ้าแพรพรรณสีสันสดใส แต่งหน้าเข้ม ตัวหอมฟุ้งด้วยกลิ่นเครื่องประทินโฉม ทว่าแม่สื่อตู้ตรงหน้านั้นแตกต่างกับในจินตนาการของเธออย่างสิ้นเชิง นางเป็นผู้หญิงรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม เสื้อผ้าอาภรณ์กำลังพอดี ไม่เรียบง่ายและไม่หรูหราจนเกินไป ท่วงท่าและรอยยิ้มสง่างาม หากไม่รู้ คงต้องคิดว่านางเป็นฮูหยินจากสกุลใหญ่เป็นแน่
นางพูดไม่ช้าไม่เร็ว ใบหน้ายิ้มแย้ม คบหากับคนเช่นนางคงสบายใจน่าดู
แม่สื่อตู้พูดต่อ “เรื่องราวของคุณชายเยี่ยน ดูแล้วคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าเล่า พวกเจ้าก็คงรู้แล้ว ท่านอ๋องจากไปนานแล้ว ท่านแม่แต่งงานใหม่ เขาไม่มีพี่น้อง หลายปีมานี้ชีวิตของเขาลำบาก แต่ในความลำบากก็ยังมีเรื่องดี จวนคุณชายไม่มีท่านพ่อท่านแม่ แม่นางอวี๋เข้าไปก็จะได้เป็นนายหญิง ไม่ต้องรับใช้พ่อแม่สามี และไม่ต้องเอาใจญาติพี่น้องสามี บ้านเช่นนี้ถึงจะไม่ทำให้บุตรสาวของพวกเจ้าต้องเป็นทุกข์”
คำพูดนี้ตรงใจคนสกุลอวี๋เหลือเกิน ว่ากันว่าสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ กับแม่ตัวเองยังมีทะเลาะเบาะแว้งกัน นับประสาอะไรกับแม่สามีที่ถูกแย่งลูกชายไปเล่า? ป้าสะใภ้ใหญ่นับว่าโชคดี สกุลอวี๋ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่ใต้หล้านี้จะมีครอบครัวที่เหมือนกับสกุลอวี๋มากสักเท่าไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น สกุลใหญ่มีกฎระเบียบมากมาย หากมีแม่สามีคอยกดหัว พร่ำออกคำสั่งกับอาหวั่น เช่นนั้นอาหวั่นคงต้องทุกข์ระทมเป็นแน่
แม่สื่อตู้ยิ้ม “อีกอย่าง คุณชายน้อยทั้งสามก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ”
ความหมายโดยนัยก็คือ ทั้งสองมีลูกกันแล้ว ไฉนยังไม่แต่งงานกันอีกเล่า? จะต้องรอให้ลูกเรียกหญิงอื่นว่าแม่ เรียกชายอื่นว่าพ่อหรือ?
เด็กน้อยทั้งสามนั่งดื่มนมแพะอยู่ที่ธรณีประตู ไม่รู้ว่าได้ยินแม่สื่อตู้กำลังพูดถึงพวกตนหรืออย่างไร พวกเขาหยุดดื่มนม แล้วหันหน้ามาด้วยสีหน้ามึนงง
ดวงตาไร้เดียงสาของพวกเขาทำให้คนสกุลอวี๋ใจละลาย
ตลอดสองปีที่ผ่านมา ทั้งสามเผชิญกับความลำบากมาไม่น้อยกว่าจะมีพ่อ แต่กลับไม่มีแม่ เมื่อมีแม่ ก็ไม่อาจพบหน้าพ่อ น่าสงสารเหลือเกิน
พวกเขายังมิทันได้เอ่ยถึงสินสอด คนสกุลอวี๋ก็แทบจะพยักหน้าตอบตกลงแล้ว มิเช่นนั้นจะพูดได้หรือว่าแม่นางตู้เป็นแม่สื่ออันดับหนึ่งของเมืองหลวง ที่จริงต่างก็รู้กันอยู่แล้วว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงพูดเช่นนี้ได้ แต่อาจไม่ได้ผลลัพธ์เฉกเช่นแม่สื่อตู้
น้ำเสียงของนาง ท่วงท่าและจังหวะการพูดของนาง ล้วนเปี่ยมไปด้วยพลังในการโน้มน้าวใจ
คนสกุลอวี๋แทบจะอยากเอ่ยถามไปว่าจะจัดงานวันไหน แต่อวี๋เซ่าชิงกลับไม่ยักจะเห็นดีเห็นงามด้วย
อวี๋เซ่าชิงตบโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เห็นด้วย! คนผู้นั้นเหลาะแหละ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่จริงจัง ใครจะรู้ว่าอาหวั่นแต่งงานกับเขาแล้วจะเป็นอย่างไร? อย่าลืมว่าเขาอยู่ในเมืองหลวงเพียงชั่วคราว เขาเป็นคนเมืองเยี่ยน ถ้าอาหวั่นแต่งงานกับเขาก็ต้องย้ายไปอยู่เมืองเยี่ยนน่ะสิ!”
คำพูดนี้เปรียบประหนึ่งน้ำเย็นเฉียบที่สาดใส่หน้าคนสกุลอวี๋
จริงด้วย พวกเขาลืมไปเสียสนิท เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นอ๋องน้อยแห่งเมืองเยี่ยน หากเขาแต่งงาน ก็ต้องกลับไปเมืองเยี่ยน ครานี้อาหวั่นจะกลับบ้านเดิมก็ยากแล้ว พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าอาหวั่นจะใช้ชีวิตอย่างไร ลำบากหรือไม่?
“มิต้องกังวลไป” ลุงวั่นกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายบอกแล้วว่าเขาอยู่เมืองหลวงได้”
แม้แต่เรื่องนี้ก็คิดเอาไว้แล้วรึ! อวี๋เซ่าชิงกอดอกด้วยความโกรธ!
อวี๋เซ่าชิงนึกจะพูดบางอย่าง แต่ลุงวั่นยกชาขึ้นมาจิบ “…ขาของฝ่าบาท…”
“แค่ก!” นางเจียงสำลัก
นางสำลักเสียงดัง จนคำว่า ‘ขน’ ถูกกลืนหายไป
ทุกคนรู้สึกฉงนใจ เมื่อครู่ยังคุยเรื่องการแต่งงานดีๆ อยู่เลยนี่ อยู่ๆ มาพูดถึงเรื่องของฮ่องเต้ได้อย่างไร? ขาของฮ่องเต้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา?
“เจ้าเป็นอะไร?” อวี๋เซ่าชิงมองนางเจียงด้วยความเป็นห่วง
นางเจียงถือผ้าเช็ดหน้า กดจุดไท่หยางบริเวณหางคิ้ว กล่าวด้วยท่าทางซีซือกุมหทัย “ไอ้หยา ข้าปวดหัวเหลือเกิน”
“ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อน” อวี๋เซ่าชิงพยุงนางเจียงกลับห้อง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอวี๋เซ่าชิงกลับออกมาอีกเลย
อวี๋หวั่นหน้าดำคร่ำเครียด ในช่วงเวลาคับขันอย่างนี้ ท่านพ่อกลับพึ่งพาไม่ได้!
“ที่จริงแล้ว…” อวี๋เฟิงก็อยากปฏิเสธเช่นกัน
ลุงวั่นรีบพูดว่า “คุณชายบอกว่า เรื่องงานแต่งของเจ้ากับคุณหนูไป๋ เขาจะจัดการให้เอง!”
อวี๋เฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่จริงแล้วคุณชายเยี่ยนก็เป็นคนดีนะ”
อวี๋หวั่น “…”
แม่สื่อตู้ยิ้มน้อยๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกล่าวกับลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ว่า “เช่นนั้น…พวกเรามาพูดเรื่องสินสอดกันดีกว่าไหม?”
“ช้าก่อน” อวี๋หวั่นเดินออกมาจากห้องของตน ยื่นมือออกมากดรายการสินสอดเอาไว้ “งานแต่งของข้า ท่านถามความเห็นของข้าหรือยัง?”
แม่นางตู้ตกใจ นางเป็นแม่สื่อมานานหลายปี แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีแม่นางคนไหนออกมากลางคันเช่นนี้ พวกนางมักจะรออยู่ในห้องด้วยความขวยเขิน มีบ้างที่พ่อแม่จะโอนอ่อนตามใจ แต่พวกนางก็ไม่อาจแสดงสีหน้า ทำได้เพียงนั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลังฉากกั้น คอยฟังว่าแม่สื่อและพ่อแม่ว่าอย่างไร
เรื่องการแต่งงาน ผู้ใหญ่ตัดสินใจนับว่าเพียงพอแล้ว ไหนเลยแม่นางทั้งหลายจะตัดสินใจเองได้?
แม้ว่าแม่นางตู้จะคิดเช่นนี้ แต่ก็มิได้แสดงสีหน้าออกมา นางยิ้มอ่อนโยน แล้วถามว่า “แม่นางอวี๋ เจ้ายินดีแต่งเข้าจวนคุณชายหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]