“จะวางฝ่าบาทไว้ในสายตาได้อย่างไรเล่าเพคะ ฝ่าบาทเป็นถึงโอรสสวรรค์ แน่นอนว่าต้องวางไว้ในหัวใจสิเพคะ เคารพเทิดทูนอยู่ทุกขณะจิต”
ฮ่องเต้ “……”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ค่อยๆ อ่อนลงเล็กน้อย พลางตรัสว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าต้องขัดราชโองการของเราขับซูเช่อเฟยออกจากจวนอ๋องด้วย”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้หม่อมฉันมีความคับข้องใจต้องการจะกราบทูลเรื่องนี้กับพระองค์พอดีเพคะ”
ซ่งหวานหว่านกล่าว “ซูเช่อเฟยเข้าจวนจ้านอ๋องมาก่อนหม่อมฉัน นางใช้อำนาจบาตรใหญ่เกะกะระรานผู้อื่นไปทั่ว ไม่เคารพพระชายาเอกอย่างหม่อมฉัน หม่อมฉันคิดว่าอย่างไรนางก็เป็นคนที่พระองค์ประทานให้แก่ท่านอ๋อง จึงอดกลั้นมาตลอด”
“แต่นางถึงกับทำท่ารังเกียจบอกว่าจวนอ๋องเล็กแคบเกินไป ไม่พอให้นางใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่อหน้าผู้คนมากมาย! นี่จะได้อย่างไรกัน นี่ไม่ใช่กำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาททรงไม่ยอมประทานจวนให้ท่านอ๋องใหญ่กว่านี้อย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ”
“กิริยาเช่นนี้ของนางไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝ่าบาทกับท่านอ๋องของหม่อมฉัน ยังจะทำให้เหล่าชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่าฝ่าบาททรงพระทัยแคบได้อย่างง่ายดายอีกด้วย! ดังนั้น หม่อมฉันจึงบังอาจตัดสินใจเชิญนางออกจากจวนอ๋อง ให้นางได้ไปอยู่ยังสถานที่หรูหราอย่างที่นางต้องการสักหน่อย”
พอนางพูดประโยคนี้ออกมา สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ดูไม่น่ามองอย่างยิ่งยวด ในสายพระเนตรที่มองมายังซูมู่เสวี่ยเจือแววเย็นชาอยู่หลายส่วน
อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ แต่หากกระทบถึงชื่อเสียงของเขาในหมู่ชาวบ้าน นี่เท่ากับสมควรตาย
ดวงพระเนตรนี้ของฮ่องเต้ มองจนทำให้ซูซ่างซูและซูมู่เสวี่ยอกสั่นขวัญหายได้เลย
ซูมู่เสวี่ยรีบชี้แจง “ขอฝ่าบาทโปรดให้ความกระจ่างด้วยเพคะ คำพูดเหล่านี้ของซ่งหวานหว่านล้วนเหลวไหลทั้งเพ! นางก็แค่อิจฉาที่หม่อมฉันได้รับความรักความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ทั้งยังกุมอำนาจในการดูแลจัดการเรือนหลังของจวนอ๋อง ดังนั้นใจนางเลยเกิดความริษยาคลั่งแค้น ไม่สนราชโองการฝ่าบาท ขับไล่หม่อมฉันออกจากจวนอ๋องไปเสียดื้อๆ!”
“คุณหนูซู พูดจาอะไรต้องอาศัยมโนธรรมด้วย!”
ซ่งหวานหว่านเอามือกุมอกสีหน้าเต็มไปด้วย ‘ความปวดใจ’ พลางมองไปทางฝ่าบาทแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท คำพูดของหม่อมฉันมิใช่คำลวง ตอนนั้นซูมู่เสวี่ยทำท่ารังเกียจว่าจวนอ๋องเล็กแคบต่อหน้าอนุทั้งจวนอ๋อง! เรื่องนี้อนุทั้งจวนอ๋องเป็นพยานได้ สามารถเรียกพวกนางมายืนยันได้ทุกเมื่อเพคะ!”
“ส่วนที่บอกว่าหม่อมฉันอิจฉานางที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องเลยใส่ร้ายนางนั้น นี่ถือเป็นคำโกหกคำโต ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ พระองค์ทรงถามท่านอ๋องดูได้เพคะว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่หรือไม่”
เจียงอู๋วั่งเหลือบตามองซ่งหวานหว่านแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปทางฮ่องเต้แล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่ กระหม่อมอยากถามดูสักหน่อย วังหลังของเสด็จพี่ใครเป็นคนบริหารจัดการ”
“ย่อมต้องเป็นฮองเฮา”
“ไยเสด็จพี่ถึงไม่ทรงมอบวังหลังให้พระสนมหรงเฟยเป็นคนจัดการเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เหลวไหล! ฮองเฮาสิถึงจะเป็นเจ้านายของวังหลัง หากข้ามนางแล้วมอบให้หรงเฟยเป็นคนจัดการ มิเท่ากับไม่เคารพหลักอาวุโส ไร้ระเบียบแบบแผนหรอกหรือ”
“ฉะนั้น เรือนหลังของกระหม่อมจะไม่เคารพหลักอาวุโส ข้ามหวางเฟยของกระหม่อม ไปส่งมอบให้เช่อเฟยคนหนึ่งดูแลจัดการได้อย่าไรกัน”
“นี่...” ฮ่องเต้พลันเกิดอาการน้ำท่วมปากขึ้นมา
“ส่วนความโปรดปราน...” เจียงอู๋วั่งมองไปทางซูมู่เสวี่ย พลางกล่าวด้วยสายตาคมกริบ “ซูมู่เสวี่ย ไหนเจ้าลองว่ามาสิ เปิ่นหวางเคยโปรดปรานเจ้าเมื่อใด”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ซูมู่เสวี่ยพลันไร้คำจะโต้แย้งโดยทันที
นับตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในจวนจ้านอ๋อง ก็คิดหาทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้เจียงอู๋วั่ง แต่เจียงอู๋วั่งกลับไม่เคยชายตามองนางเลยสักครั้ง ปฏิบัติกับนางเฉกเช่นมนุษย์ล่องหน
แล้วนี่จะเอาตรงไหนมาถือว่าเป็น ‘โปรดปราน’ กัน
ครั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ฮ่องเต้มีหรือจะยังไม่เข้าใจ สีหน้าเขาขรึมลง พลางตวาดว่า “ซูมู่เสวี่ย เจ้าถึงกับกล้าหลอกลวงเบื้องสูง ช่างใจกล้าดีเหลือเกิน!”
ซูมู่เสวี่ยตกใจจนตัวสั่นงันงก ซูซ่างซู่เองก็รีบโขกศีรษะขออภัยโทษ “ฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดทรงระงับโทสะก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจสั่งสอนบุตรสาวให้ดีได้ ทำให้ฝ่าบาทกังวลพระทัยแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัย!”
“ฮึ!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา “ซูซ่างซูอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดเอง ไม่สืบความจริงให้กระจ่างก็สรุปใจความเอาส่งเดช ลงโทษปรับเบี้ยหวัดเป็นเวลาสามปี! ส่วนบุตรสาวเจ้าซูมู่เสวี่ยให้กักบริเวณไม่อนุญาตให้ออกไปไหนเป็นเวลาหนึ่งปี พวกเจ้าจงไสหัวกลับไปให้หมด!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”
ซูซ่างซูพ่อลูกตกใจจนขี้หดตดหาย เร่งฝีเท้าก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะบันดาลโทสะสีหน้าพลันเขียวคล้ำ เริ่มไอและเกิดอาการหอบอย่างรุนแรงขึ้นมา
เต๋อกงกงเห็นเช่นนี้ สีหน้าแปรเปลี่ยนขนานใหญ่ รีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงทันที
เจียงอู๋วั่งและซ่งหวานหว่านมองสบตากัน ก่อนจะได้ยินซ่งหวานหว่านเอ่ยเสียงต่ำว่า “นี่คือการไอจนลุกลามเป็นหอบหืด สามารถรักษาได้ แต่ยุ่งยากอยู่บ้าง จำเป็นต้องรักษาหลายครั้ง มิฉะนั้นคงยากจะหายขาด”
“ต้องใช้เวลารักษานานเพียงใดถึงจะหายดี”
“ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ไม่ทราบเพคะ แต่หลังจากช่วยชีวิตคนประหลาดชาวโปซือผู้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศคนหนึ่งโดยบังเอิญ เขาก็สอนสิ่งต่างๆ ให้หม่อมฉันไม่น้อย ทั้งยังทิ้งตำราแพทย์ให้หม่อมฉันอีกหลายเล่ม หม่อมฉันจึงศึกษาค้นคว้าออกมาด้วยตนเอง”
ซ่งหวานหว่านเริ่มเล่าเรื่องไปเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง
ฮ่องเต้ตรัสถามว่า “ยังมีวิชาแพทย์แปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วยหรือนี่ คนประหลาดผู้นั้นอยู่ที่ใด ตำราแพทย์อยู่ที่ไหน”
คนไม่มีหรอก ส่วนตำราแพทย์มีอยู่เป็นกอง อยู่ในแหวนอวกาศของข้านี่ไง สามารถเอามาชั่งขายยังได้
ซ่งหวานหว่านลอบกลอกตาบนอย่างลับๆ แต่ปากกลับพูดว่า “คนประหลาดผู้นั้นออกเดินทางท่องเที่ยวต่อแล้วเพคะ ส่วนตำราแพทย์ หม่อมฉันเก็บไว้ในจวนจ้านอ๋อง”
“วันหลังเจ้าค่อยส่งเข้าวังมาสักสองสามเล่ม ให้เราได้พิศดูสักหน่อย” ฮ่องเต้ตรัส “ส่วนอาการไอของเรา เจ้าแน่ใจจริงหรือว่าสามารถรักษาหายได้”
“หม่อมฉันมั่นใจว่าจะรักษาพระองค์ให้ทรงหายเป็นปกติได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักระยะ อาการไอเป็นโรคเรื้อรัง ใช้เวลาแค่วันสองวันยากจะหายขาดได้”
“ดี เช่นนั้นจากนี้ไปทุกวันยามอู่ เราจะส่งคนไปรับเจ้าเข้าวัง การรักษาของเจ้าต้องการอะไรให้จัดเตรียมอะไร สามารถเขียนลงมาได้เลย”
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา”
“ใครก็ได้! ยกพู่กันและน้ำหมึกเข้ามา!”
เต๋อกงกงยกกระดาษและพู่กันเข้ามามอบให้ ซ่งหวานหว่านกลับส่งมันให้เจียงอู๋วั่งแทน “รบกวนท่านอ๋องเขียนแทนด้วย ลายมือของหม่อมฉันไม่ค่อยน่ามองนัก”
เจียงอู๋วั่งชำเลืองมองนางอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก่อนจะรับกระดาษและพู่กันมาจากนาง
ซ่งหวานหว่านพูดตัวยาสมุนไพรมากมายออกมารวดเดียวจบในชั่วอึดใจเดียว เจียงอู๋วั่งก็ให้ความร่วมมือดีมาก เขียนใส่ลงมาครบทั้งหมด ลายมือหรือก็พริ้วไหวดุจหงส์ร่อนมังกรรำ ดูทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
หลังมอบใบสั่งยาที่เขียนเสร็จแล้วให้กับเต๋อกงกง เจียงอู๋วั่งกับซ่งหวานหว่านก็เตรียมจะขอตัวจากไป
ใครจะรู้ว่ายามนี้ กลับมีขันทีน้อยผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตึ้ง’
“ฝ่าบาท แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต
ไม่ต่อแล้วหรอออ...
5555555555...
ต่อไหมค่ะ...
สนุกมากกกค่ะ...