หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต นิยาย บท 10

ซุนซื่อพูดไปพลางก็ด่าทอไปพลาง “เซียงอี๋ของเราได้ใช้เลือดของนาง นางควรจุดธูปกราบเป็นพระโพธิสัตว์สำนึกในบุญคุณด้วยซ้ำ ถึงกับยังกล้าหมายปองทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของจวนโหว ช่างคิดเพ้อฝันนัก!”

“ติดที่ท่านเป็นเพียงแค่ท่านโหว เรื่องแค่นี้เลยจัดการไม่ได้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี! ตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี หากไม่มีเลือดของนังสารเลวนั่นมาทำยา ร่างกายของบุตรสาวก็คงไม่มีทางดีขึ้น ลูกข้าจะต้องเป็นชายารัชทายาท หากนางให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ทุกอย่างก็คงจบสิ้นแล้ว!”

“พอแล้ว อย่ามาลากข้าไปเกี่ยว! หากเจ้ามีประโยชน์นัก งั้นเจ้าก็ไปหานังลูกชั่วนั่นเองแล้วกัน นางมีจ้านอ๋องคอยหนุนหลัง ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเอาเลือดกลับมาได้ไหม!”

“จ้านอ๋อง...” พอซุนซื่อเอ่ยออกมา เจ้าตัวก็นิ่งไป

นั่นคือจอมปีศาจหน้าน้ำแข็งเชียวนะ นางไหนเลยจะกล้าไปอวดดีใส่ 

“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี เซียงอี๋คือความหวังเดียวของเรานะ...”

ซ่งเว่ยหลิงเอ่ยด้วยจิตใจว้าวุ่น “หากไร้หนทางแล้วจริงๆ ก็ได้แต่ตอบรับเงื่อนไขของนาง”

“นั่นจะได้อย่างไร! ทรัพย์สินครึ่งหนึ่ง นั่นมันเงินตั้งเท่าไหร่ ข้าไม่อาจถูกแม่ลูกคู่นั้นเอาเปรียบได้!”

“ท่านแม่ ท่านคิดถึงลูกหน่อยเถิด ที่แท้แล้วเงินหรือลูกสำคัญกว่ากันแน่” ซ่งเซียงอี๋เอ่ยด้วยน้ำตาคลอเบ้า “รอลูกได้เป็นชายารัชทายาทแล้ว ท่านยังกลัวว่าเราจะไม่ได้เงินก้อนนี้กลับมาเชียวหรือ”

ซุนซื่อฟังจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงมองไปทางซ่งเว่ยหลิงอย่างเจ็บปวด

ซ่งเว่ยหลิงสีหน้าคร่ำเครียด ในใจคล้ายกับกำลังหลั่งเลือดอยู่

แต่เมื่อคิดว่าอนาคตบุตรสาวของตนได้แต่งงานกับรัชทายาท เขาไม่เพียงแค่มีเงินทอง ยังจะได้ครอบครองอำนาจมากมายอีกด้วย เขาจึงตัดสินใจลงได้ในที่สุด

“เอาล่ะ อีกสองวันข้าจะไปหานังลูกชั่วนั่นสักเที่ยว ลองต่อรองดูสักหน่อย ดูว่าจะลดให้อีกหน่อยได้หรือไม่ ส่วนหนังสือหย่า ไม่มีอะไรสำคัญ มอบให้พวกนางก็พอ อย่างไรเสียเซี่ยซื่อในตอนนี้ก็ไร้ที่ให้ไปต่อ ก่อคลื่นลมไม่ได้อีกแล้ว”

“ท่านพ่อตอนไปหานังสารเลวนั่น ท่านต้องเอาเลือดนางมาชามใหญ่เลยนะเจ้าคะ!” ซ่งเซียงอี๋ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “ข้าอยากจะกินเลือดกินเนื้อนางจนทนไม่ไหวแล้ว จะสูบจนนางแห้งตายไปเลย!”

ขณะที่พวกเขากำลังทุกข์ใจและระเบิดอารมณ์กันอยู่นั้น ยามนี้ ‘ตัวการหลัก’ อย่างซ่งหวานหว่านก็กำลังประสบกับเรื่องใหญ่อีกเรื่องในจวนจ้านอ๋องเช่นกัน

—— รับราชโองการ

คนในจวนอ๋องต่างพากกันคุกเข่า ทว่าเจียงอู๋วั่งกลับยืนตระหง่าน เขาไม่เคยคุกเข่า ฮ่องเต้เองก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ดังนั้น ซ่งหวานหว่านเลยเลียนแบบเขา ไม่คุกเข่าลงเช่นกัน กลับยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น

ต่อให้ขันทีผู้ประกาศราชโองการจะไม่พอใจเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าจ้านอ๋อง จึงได้แต่กระแอมคอให้โล่ง แล้วเริ่มประกาศ “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา ——ประกาศว่าให้หวางเฟยแห่งจวนจ้านอ๋องเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยทันที ไม่อนุญาตให้ชักช้า จบราชโองการ”

กล่าวจบ ขันทีผู้ประกาศราชโองการก็เก็บราชโองการแล้วส่งมอบให้ซ่งหวานหว่าน พร้อมกล่าวว่า “พระนางหวางเฟย โปรดเข้าวังไปพร้อมกับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” 

ซ่งหวานหว่านเพิ่งจะรับราชโองการ เสียงเจียงอู๋วั่งก็ดีงขึ้นมาแล้ว

“อันกงกงเดินทางไปก่อนได้เลย หวางเฟยของเปิ่นหวางต้องไปเปลี่ยนชุดก่อน จากนั้นเปิ่นหวางค่อยส่งนางเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่พร้อมกัน”

อันกงกงไม่กล้าไม่ปฏิบัติตาม หลังทำความเคารพตามพิธีการเสร็จ ก็ขึ้นรถม้าจากไป

“ไปเปลี่ยนชุดทางการของหวางเฟย”

“อืม”

ซ่งหวานหว่านพาสาวใช้กลับไปยังเรือนฮ่วนซี ส่วนเจียงอู๋วั่งก็จัดให้เซี่ยซื่อพักอยู่ในเรือนฝูหรงที่อยู่ติดกับเรือนฮ่วนซี

เพียงไม่นาน ภายใต้การปรนนิบัติของเหล่าสาวใช้ ซ่งหวานหว่านก็สวมชุดทางการของหวางเฟยอันหรูหราสูงศักดิ์ทั้งยังสลับซับซ้อนเสร็จเรียบร้อย คิดไปคิดมา นางก็ล้วงแพรโปร่งสีขาวผืนหนึ่งออกมาจากแหวนอวกาศมาสวมคลุมใบหน้าไว้ แล้วถึงค่อยออกมา

เจียงอู๋วั่งกำลังรอนางอยู่ ทั้งสองขึ้นไปรถม้าคันหรูพร้อมกัน ก่อนจะเคลื่อนไปยังวังหลวง

บนรถม้า เจียงอู๋วั่งยื่นชาถ้วยหนึ่งส่งให้ซ่งหวานหว่าน ก่อนจะส่งเสียงเอ่ยขึ้นว่า “เห็ดหิมะสามพันปีต้นนั้น ทั่วทั้งใต้หล้าเหลือเพียงต้นนั้นต้นเดียวที่อยู่กับเสด็จพี่ หากพวกเราร่วมมือกันคิดหาวิธีชิงมันมา อย่างไรก็คงไม่มีทางผิดพลาด”

ซ่งหวานหว่านครุ่นคิดพลางพูดว่า “เริ่มลงมือจากพระวรกายฝ่าบาทได้หรือไม่ ความโปรดปรานของเขา หรือสุขภาพร่างกายดี?”

เต๋อกงกงหัวหน้าขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับแผดเสียงแหลมเล็กกล่าวว่า “จ้านหวางเฟยช่างใจกล้านัก พบเจอฝ่าบาท กลับยังไม่คุกเข่าทำความเคารพอีก!”

เขาเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกเจียงอู๋วั่งมองอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง จึงตกใจจนคอหด รีบถอยกลับไปอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ทันที

“เปิ่นหวางสามารถเข้าออกท้องพระโรงโดยไม่ต้องคุกเข่าได้ ซ่งหวานหว่านคือหวางเฟยของเปิ่นหวาง ฐานะเทียบเท่ากับเปิ่นหวาง ย่อมไม่ต้องคุกเข่าเช่นกัน ขนาดเสด็จพี่ยังไม่ตรัสอะไร เต๋อกงกงกลับมาวางอำนาจ ในสายตาเจ้ายังมีเสด็จพี่อยู่หรือไม่” เจียงอู๋วั่งตวาดอย่างเย็นชา

เต๋อกงกงโกรธจนสีหน้าแดงก่ำ กลับไม่กล้าโต้แย้งอันใดทั้งสิ้น เพราะกระทั่งฝ่าบาทยังไม่กล้ายั่วโทสะดาวหายนะผู้นี้เขาไหนเลยจะกล้าไปล่วงเกิน!

ครั้นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ส่งพระสุรเสียงออกมาในที่สุด ในที่สุด พร้อมโบกพระหัตถ์กล่าวว่า “เสี่ยวเต๋อจื่อ ภายหน้าหากจ้านหวางเฟยพบเรา ให้ละเว้นการคุกเข่าเช่นเดียวกับจ้านอ๋อง”

อำนาจทางทหารยังอยู่ในมือเจียงอู๋วั่ง ฝ่าบาทย่อมไม่อาจปะทะกับเขาอย่างใหญ่โตซึ่งหน้าได้   เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาใช้อำนาจทางการทหารมาก่อกบฏ

ซ่งหวานหว่านเห็นเช่นนี้ ก็ย่อกายกล่าวคำขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

“จ้านหวางเฟยมาพบเรา เหตุใดยังจงใจสวมผ้าคลุมหน้ามาอีกเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือความผิดฐานไม่เคารพเบื้องสูง”

“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันหน้าตาอัปลักษณ์ ที่สวมผ้าคลุมหน้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาททรงตกพระทัย ขอฝ่าบาททรงยกโทษให้หม่อมฉันด้วย”

“ได้ หนนี้เราจะละเว้นไม่ลงโทษเจ้า แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าได้กระทำผิดใหญ่หลวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นความผิดอะไร” ฝ่าบาททรงย้อนถาม

“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” นางเงยหน้าสบสายพระเนตรอันคมกริบคู่นั้นของฝ่าบาท กล่าวโดยไม่มีความหวาดกลัวสักกระผีก “วันนี้หม่อมฉันเข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นครั้งแรก หากมีตรงส่วนไหนที่เสียมารยาท ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงชี้แนะด้วยเพคะ”

“ซูมู่เสวี่ยบุตรสาวของซู ซ่างซู่ เป็นคนที่เราประทานให้เป็นเช่อเฟยของจ้านอ๋องด้วยตนเอง เจ้ากลับขับนางออกจากจวนอ๋องโดยไร้เหตุผล ในสายตาเจ้ายังมีโอรสสวรรค์อย่างเราคนนี้อยู่หรือไม่”

“ในสายตาของหม่อมฉันย่อมไม่มีฝ่าบาทเพคะ”

“เจ้าบัง...” อาจ!

คำสุดท้ายยังไม่ทันเอ่ยออกมา ซ่งหวานหว่านก็เปิดปากขึ้นมาอีกครั้ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวางเฟยอัปลักษณ์พลิกชีวิต