ตอนที่6
#หยิ่งนักลองมารักกันหน่อยไหม
“กระเป๋าใครอะคิน” นี่คือประโยคแรกที่คินถูกเพื่อนสนิทตัวน้อยถามในทันทีที่เดินเข้ามาในห้องเรียน กระเป๋าเป้สีดำที่ไม่คุ้นตาแถมดูทั้งจากยี่ห้อและระดับความใหม่แล้วไม่มีทางที่คินจะใช้แน่ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน มองคินอย่างพิจารณาว่าทำไมวันนี้ถึงได้ไปหยิบกระเป๋าของใครเขาติดมือมาด้วย
“เราถามว่ากระเป๋าใคร” จนที่คินนั่งแล้วแต่ยังไม่ยอมตอบอีกธารถึงถามย้ำ
“ของพี่ภู”
“หืม?แล้วมาอยู่กับคินได้ยังไง” คราวนี้เสียงเริ่มจริงจังเมื่อรู้ว่าตรงหน้าคือกระเป๋าของใคร
“ก็เมื่อคืนไปส่งพี่เขาไง แล้วก็…เขาลืมไว้”
“ทำไมคินจะต้องไปให้ความช่วยเหลือคนนิสัยแบบนั้นด้วยนะ!” พูดออกมาเสียงดัง
“คนนิสัยแบบไหนวะไอ้เตี้ย” จนไม่ทันจะได้สังเกตรอบข้างว่ามีบุคคลจากต่างคณะที่เพิ่งจะเดินเข้ามา คินเบิกตากว้างเช่นเดียวกับธารที่ปากไวจนไปนินทาเขาในระยะเผาขนแบบนี้ แต่เห็นตัวเล็กนี่นักเลงพอตัวเพราะธารลุกขึ้นยืนพร้อมมองจ้องไปยังเจ้าของกระเป๋าที่กำลังมาทวงของตัวเองคืน
“ก็คนนิสัยแบบคุณที่แกล้งเพื่อนผม แต่ก็ยังรับความช่วยเหลือจากเขาไง”
“ให้มันน้อยๆหน่อย เพื่อนมึงเสนอหน้ามาช่วยกูเองตางหากเว้ย”
“เราไม่ได้สนิทกันอย่ามาพูดคำหยาบกับผม” คินกำลังทำตัวไม่ถูก คนนึงก็เพื่อนส่วนอีกคนก็กัปตันทีม
“งั้นแล้วน้องสนิทกับพี่หรอครับถึงได้มานั่งนินทาพี่ลับหลังแบบนี้” ถึงสรรพนามจะเปลี่ยนแต่รูปประโยคในการคุยกันก็ยังรุนแรงเหมือนเดิม คินรีบหยิบกระเป๋าของภูขึ้นมา เดินไปบังธารเอาไว้ก่อนเรื่องจะลามปามไปกว่านี้
“นี่กระเป๋าพี่ เอาคืนไป”
…หมับ!.. แน่นอนว่าภูรีบคว้าไปทันที
“พี่ควรขอบคุณผมด้วย” โดนคินพูดมาแบบนี้ภูนิ่งลงเล็กน้อย
“เออขอบคุณ” คำพูดที่ประชดประชันก่อนที่ภูจะเดินออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาของคนในห้องที่มองตาม ตอนนี้ธารและคินนั่งลงแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดไม่ได้ต่างกัน ส่วนคนอื่นในห้องกลับเริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาออกมาจากกลุ่มหญิงสาวที่นั่งเรียนร่วมกัน
“ฉันได้ข่าวมาว่าที่พ่อกับแม่พี่ภูเลิกกันน่ะเพราะพ่อพี่ภูไปมีเมียน้อย…แล้วก็นะ พอบ้านแตกพี่ภูก็เหมือนสติแตก”
“นั่นสิเนอะ แกดูตอนนี้สิ…กีฬาฉันก็ไม่เห็นเขาจะทำได้ดีเหมือนเดิม แถมแฟนก็ทิ้ง…เราไม่น่าไปเคยตามกรี๊ดเลยเนอะแก”
“ก็ตอนนั้นฉันแค่มอหกนี่หว่า นี่ถ้ารู้ว่าพอเข้ามาเรียนมอเดียวกันแล้วจะเจอมุมแบบนี้…ฉันไม่เสียเวลาไปนั่งหวีดหรอกย่ะ” ก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักทั้งที่พูดถึงเรื่องครอบครัวของคนอื่นอยู่แท้ๆ คินชักสีหน้าเพราะถึงแม้ภูจะนิสัยไม่ดีแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเอาเรื่องปัญหาของครอบครัวเขามาคุยกันนินทาสนุกปากได้ พ่อแม่เขาเองก็แยกทางกัน ถึงจะนานมาแล้วแต่คินจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
และในเวลาหลังเลิกเรียนคินก็มาซ้อมว่ายน้ำตามปกติ
แต่ที่แปลกไปในวันนี้
“ไอ้ภูมันพาแม่ไปโรงพยาบาลนะ วันนี้ก็เป็นกูที่คุมพวกมึงไปก่อนแล้วกัน” เสียงนี้ที่ดังจากแบงค์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในชมรมอีกคน คินไม่ได้พูดอะไรในขณะที่คนอื่นดูกังวลและเป็นห่วงภูมาก เจอแบบนี้คินแอบขมวดคิ้ว คิดในใจว่าพี่ภูนิสัยไม่ดีขนาดนั้นแต่ทำไมทั้งเพื่อนและคนในชมรมถึงได้ดูรักนักหนา ช่วงเบรกระหว่างซ้อมขึ้นมานั่งพัก
“พี่แบงค์ครับ พี่เป็นเพื่อนกับพี่ภูมานานแล้วหรอ” คินถึงได้ตัดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้ออกไป
“ก็ตั้งแต่มอปลายอะ ทำไมวะ”
“เปล่าผมแค่อยากรู้เพราะพี่ดูแบบ สนิทแล้วก็รักกันมากเลย”
“ก็นั่นเพื่อนกูหนิ” แบงค์พูดสวนมาแบบนี้ซึ่งคินพยักหน้ารับ อึกอักว่าจะถามคำถามนี้ดีไหม
“แต่พี่ภูดูนิสัยไม่ดีอะครับ หรือว่าเขาเป็นแค่กับผมหรอ” แล้วก็นั่นแหละ พอประโยคนี้หลุดไปคนฟังถึงขั้นหลุดส่งเสียงหัวเราะออกมาระลอกใหญ่ คนอายุน้อยกว่าคิ้วขมวดเล็กน้อยเพราะไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะตลกตรงไหนเลย เป็นใครจะชอบกันที่ต้องมาโดนแกล้งแล้วก็โดนพูดใส่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แถมอีกคนยังมีตำแหน่งเป็นถึงกัปตันทีมอีก
“ก็ตั้งแต่วันแรกมึงไปทำอะไรมันไว้หละ”
“แค่แข่งชนะน่ะหรอครับ”
“หืม ไม่ใช่ดิ” แบงค์พูดมาแบบนี้คินนิ่งคิด
“ผมคิดไม่ออกอะว่าไปทำอะไรให้พี่เขาไม่ชอบ เพราะตอนที่ขับรถชนคือมันก็อุบัติเหตุแถมผมยังขอโทษแล้วก็รับผิดชอบแล้วด้วย” ประโยคพูดยาวเหยียดที่มาพร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียด
“ถ้ามึงยังจำได้...วันที่มึงแข่งชนะไอ้ภู มึงพูดไม่ใช่หรอว่าทำไมพวกเด็กวิทย์กีฬาถึงไม่ได้เก่งเหมือนอย่างที่ใครบอก แถมไปดูถูกมันว่าก็คิดว่าจะว่ายเร็วกว่านี้”
“.........” คนที่เริ่มรับรู้ถึงความผิดของตัวเองเม้มปากนิดหน่อย ก่อนที่คินจะยิ้มแห้ง
“พี่ภูเลยไม่ชอบหน้าผมตั้งแต่วันนั้นสินะครับ”
“ก็ตามนั้น” คินพยักหน้ารับ สีหน้าดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดจนแบงค์เองยังสงสัยว่าเรื่องแค่นี้จะเครียดทำไม หรือเพราะปกติเขามีเรื่องกับคนอื่นไปทั่วเลยไม่สนใจไม่ว่าใครจะชอบหน้าหรือไม่ชอบ แต่คินเองคนก็ไม่ชอบเยอะเหมือนกันนี่ ก็ดูจะไม่ได้สนใจแต่ทำไมพอมาเรื่องนี้ถึงได้ดูกังวล
“ผมไปขอโทษพี่ภูดีกว่า”
“เห้ยใจเย็น...มึงสนใจมันขนาดนั้นเลยหรอ” รีบห้ามเอาไว้
“มันจะกระทบกับทีมครับ กับคนอื่นที่ไม่มีผลต่อชีวิตคือจะไม่ชอบผมยังไงผมไม่สน แต่พี่ภูเนี่ยเราอยู่ทีมเดียวกัน...ผมไม่อยากเป็นตัวท้วงที่ทำให้คนอื่นในทีมต้องลำบากไปด้วย” ได้ยินประโยคนี้แบงค์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะถึงแม้จะมีรายการแข่งเดี่ยวมากมายหลายรายการแต่รายการแข่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือแบบทีม ซึ่งก็ตามที่คินพูด ถ้าเกิดมีใครซักคนทีมไม่ถูกกันขึ้นมาสิ่งที่จะกระทบต่อคนอื่นด้วยก็คือประสิทธิภาพในการซ้อมรวมไปถึงวันลงสนามจริง
“คนอื่นชอบบอกว่ามึงหยิ่ง” เสียงจากแบงค์ดังมา
“ผมไมได้หยิ่งแต่ผมไม่รู้จักพวกเขาแล้วทำไมผมต้องยิ้มให้ด้วยอะ” กระทั่งที่คินสวนมาแบบนี้คนฟังถึงขั้นหลุดเสียงหัวเราะลั่นอีกรอบจนคนอื่นที่นั่งพักอยู่ต่างหันมามอง ถึงเวลาต้องลงไปซ้อมต่อคินก็ตั้งใจซ้อม เวลาผ่านไปเร็วเหมือนเคยเมื่อได้ทำในสิ่งที่รัก รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว ตามปกติจะต้องซ้อมถึงสองทุ่มแต่ในวันนี้
“กูว่าจะไปเยี่ยมแม่ไอ้ภู มีใครอยากไปไหม?” คินรีบโผล่หน้าขึ้นจากน้ำเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ผมไปด้วย!” ตะโกนบอกแบงค์พลางขึ้นจากสระท่ามกลางความวุ่นวายเพราะเพื่อนร่วมทีมคนอื่นก็อยากจะไปด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้เลิกซ้อมกันหมดเพราะจะไปเยี่ยมแม่ของภูด้วยกัน เป็นอีกครั้งที่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งชมรมโดยที่หมายไม่ได้เป็นร้านเหล้าแต่เป็นโรงพยาบาล เด็กวัยรุ่นผู้ชายนับสิบคนที่เดินในโรงพยาบาลแบบนี้ แอบเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาเสียเท่าไหร่นักและป้ายที่ติดอยู่หน้าตึกทำคินตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หยิ่งนักลองมารักกันหน่อยไหม [Yaoi]