เมื่อเห็นซูเจ๋อได้หลับตาลงแต่โดยดี ดูเหมือนว่ากำลังจะฟังนิทาน ซูเซี่ยนไม่ได้โง่เขลา ดังนั้นจึงเริ่มเล่าขึ้นจริง
ซูเซี่ยนพูดถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของเป่ยเซี่ย ยังมีเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเป่ยเซี่ยในปีนั้นด้วย
ว่ากันว่าในอดีตราชวงศ์เซี่ยเกิดสงครามกลางเมือง พี่น้องของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ลุกขึ้นก่อกบฏ และจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไปสถานที่ต่างๆ เพื่อปราบกบฏ แต่เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ได้ระวัง พวกกบฏได้โจมตีภรรยาและลูกของเขาที่อยู่ในวังหลัง
ในขณะนั้นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยมีพระสนมองค์ที่ทรงโปรดซึ่งให้กำเนิดโอรสแก่เขา ส่งผลให้ทั้งพระสนมและพระโอรสถูกทอดทิ้งนอกวัง เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยปราบกบฏกลับมา ทรงพบว่ามารดาและพระโอรสได้หายสาบสูญไป ค้นหาทั่วเป่ยเซี่ยก็ค้นหาไม่เจอ
ซูเจ๋อได้ฟังสีหน้าเรียบเฉย
ซูเซี่ยนบ้าพลังสมองจริงๆ ที่ได้เอาเรื่องราวที่ตัวเองรู้ทั้งยาวทั้งเป็นทางการมาเล่าให้ซูเจ๋อฟัง ใครให้สมองเล็กของเขามีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว
สุดท้าย ซูเจ๋อหลับตาและถามเบาๆ ว่า "ใครเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง?"
ซูเซี่ยนตอบ "ท่านปู่เล่าขอรับ"
"ท่านอ๋องมู่?"
"ได้ยินเสด็จแม่เหมือนจะเรียกเขาว่าท่านอ๋องมู่ขอรับ"
ซูเซี่ยนคิดว่า ท่านพ่อของเขาต้องการฟังเรื่องราวมากกว่านี้เพื่อปลอบประโลมที่เขาเจ็บป่วย หลังจากที่ออกมาจากห้องของซูเจ๋อ ซูเซี่ยนพูดกับแม่นมซุยว่า "อยู่ที่ไหนถึงจะฟังนิทานให้ได้เยอะกว่านี้?"
แม่นมซุยตอบว่า "โรงน้ำชาที่ตลาดมีนักเล่าเรื่องอยู่ เป็นนักเล่านิทานโดยเฉพาะเพคะ"
ซูเซี่ยนอยากไปที่โรงน้ำชา
แม่นมซุนไม่อาจทูลว่าตัวเองตัดสินใจ จึงต้องไปในวังหลวงเพื่อขออนุญาตเฉินเสียน เฉินเสียนเพียงบอกว่า เขาอยากไปก็ให้เขาไป แล้วส่งคนคอยติดตามเขาก็ได้แล้ว
ดังนั้นซูเซี่ยนนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ไปเดินตลาด ตลาดวีชีวิตชีวามากกว่าวังหลวงเสียอีก แต่ทว่าซูเซี่ยนมีจุดประสงค์ที่ตั้งใจมาก ไม่มองข้างๆ เดินตรงไปเพียงที่โรงน้ำชาเท่านั้น
เมื่อเขาเข้าไปในโรงน้ำชาแล้ว พี่เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าเขาเป็นแขกตัวน้อย แต่มีผู้ติดตามหลายคนอยู่ข้างหลังเขา จึงรู้ว่าเขาอาจจะเป็นลูกของครอบครัวใหญ่
ขึ้นไปบนชั้นสอง เขานั่งโต๊ะเดี่ยว ตัวเล็กๆ นั่งบนเก้าอี้ใหญ่ๆ ขาสองข้างห้อยลงมา มีชาอยู่ข้างหน้า เขาไม่ขยับ มองตรงไปยังนักเล่าเรื่องที่อยู่ตรงนั้น
เห็นว่าจังหวะตะลุมพุกดังขึ้น และเรื่องราวที่มีคารมคมคายก็เริ่มเล่าขึ้นแล้ว
ช่วงนี้เรื่องที่เล่าโดยนักเล่าเรื่องไม่มีการเปิดเผยสำคัญใดๆ และลูกค้าชาในโรงน้ำชาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ฮึกเหิม เมื่อนิทานเรื่องแรกจบลง ซูเซี่ยนได้บอกกับแม่นมซุยว่า "เอ้อร์เหนียง ให้เขาพูดต่ออีกสักเรื่องหน่อย"
จริงๆ แล้วนักเล่าเรื่องเล่าเสร็จก็สามารถเลิกงานได้ แต่เมื่อมีแขกต้องการขอให้เขาเล่าต่อ เขาเลยต้องเล่าอีกสองเรื่อง สุดท้ายก็มีเพียงแค่เจ้าน่องน้อยเป็นแขกเหลืออยู่เพียงคนเดียว คนเล่าเรื่องพูดอย่างคอแหบแห้งว่า "คุณชายน้อย พรุ่งนี้ค่อยกลับมาฟังได้ไหมขอรับ? พรุ่งนี้จะเล่าเรื่องใหม่ๆ ให้ท่านได้ฟังต่อ"
ซูเซี่ยนถึงได้หยุด
กลับถึงเรือน ซูเซี่ยนทำท่าทางที่จริงจังนั่งลงอยู่ด้านหน้าเตียง สามารถเล่าเรื่องราวที่เล่าโดยผู้เล่าเรื่องให้ซูเจ๋อฟังได้ครบถ้วนและไม่ตกหล่นแม้แต่ประโยคเดียว
ซูเซี่ยนเล่าได้ครู่หนึ่ง เห็นว่าซูเจ๋อหลับตาไม่มีการตอบสนองอะไร จึงได้ถามแบบเบาๆ ว่า "ท่านพ่อ ท่านหลับแล้วหรือ?"
ซูเจ๋อตอบเบาๆ ว่า "ยังไม่หลับ เจ้าเล่าต่อ"
การเล่าครั้งนี้เล่าจนถึงท้องฟ้าค่อยๆ ค่ำ เหมือนว่าจะทำให้ซูเจ๋อเผลอหลับไปแล้ว
เฉินเสียนอยู่ในห้องตำราทั้งวัน เมื่อหลังจากนางยุ่งเสร็จแล้ว เงยหน้ามองออกไปบนท้องฟ้าก็พบว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว
นางนวดไปที่กลางคิ้ว ถาม "ตอนนี้เวลากี่ยามแล้ว?"
อวี่เยี่ยนตอบอย่างเป็นห่วงว่า "เป็นเวลายามซวี ฝ่าบาท กลับไปที่พระตำหนักไท่เหอพักผ่อนเถอะเพคะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...