ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเฉินเสียนก็ถูกซูเจ๋อลากไปตอนกลางวันแสกๆ คนที่เหลือได้แต่มองดูเธอจากไปพร้อมกับซูเจ๋อโดยไม่มีทีท่าว่าจะยื่นมือไปช่วยเหลือ
เฉินเสียนพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ตกใจอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!”
เฮ่อโยวเอ่ยอย่างไม่เห็นผิดอะไรว่า “ไปเดินเล่นดูทั่วๆ ก็ดีเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียนชิงโจวก็ไม่ต่างกัน “นานๆ ทีจะได้ผ่อนคลายบ้าง”
ทั้งสองคนคิดไว้แล้วว่าขณะที่ช่วยเหลือเฉินเสียน พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นปฏิปักษ์ต่อซูเจ๋อ เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดก็อาจจะต้องพบเจอและคบหากันไปอีกนาน
“อาเซี่ยน ช่วยแม่ด้วย!” เมื่อทั้งสองคนมาหักหลังในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ คนที่เฉินเสียนพึ่งได้ก็มีแต่ลูกชายของเธอเท่านั้น
แต่ไหนเลยจะคิดว่าซูเซี่ยนจะเหม่อลอยราวกับคนโง่ที่เรียกสติกลับคืนมาไม่ได้เช่นนั้น เฉินเสียนเรียกเขา แต่เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
จนเมื่อซูเจ๋อลากเฉินเสียนไปไกลแล้ว เฮ่อโยวจึงแตะไหล่เล็กๆ ของซูเซี่ยนและบอกว่า “ไปกันไกลแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์นิ่งอึ้งนานเกินไปแล้ว”
ซูเซี่ยนดึงสีหน้ากลับมาและเอ่ยอย่างจริงจังว่า “บางครั้งใจลอยไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
เฮ่อโยวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในใจคิดว่าช่างเหมือนกันจริงๆ ไม่ใช่แค่หลอกบิดา ตอนนี้แม้แต่มารดาเขาก็ยังหลอกได้
ซูเซี่ยนมีสีหน้าเคร่งขรึม ถามอย่างครุ่นคิดว่า “เมื่อก่อนท่านพ่อของข้าพาลขนาดนี้หรือเปล่า”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ในยามปกติก็ดีอยู่หรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่ในยามโกรธก็น่าจะพาลไม่มีเหตุผลเฉกเช่นตอนนี้”
องค์หญิงจาวหยางพยักหน้าพลางเข้ามาซุบซิบใกล้ๆ “ใช่เลยๆ เขาโกรธจริงๆ เรื่องนี้ข้าเป็นพยานได้ ตลอดหนึ่งที่อยู่เป่ยเซี่ยมานี่ ข้าไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน ช่างน่ากลัวจริงๆ”
เหลียนชิงโจวสรุปว่า “ท่านอาจารย์ความจำเสื่อมอยู่ไม่ใช่หรือ เป็นเช่นนั้นแล้วยังคอยจับตาขนาดนี้ แบบนี้คงจะได้รับแรงกระตุ้น”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “เขาควรกระตุ้นตัวเองบ้างจึงจะดี”
ซูเซี่ยนเพียงแค่กระตุ้นพ่อของเขาเพื่อให้พ่อของเขาคิดริเริ่มช่วงชิงด้วยตัวเอง และดูเหมือนกลุ่มชายหนุ่มจากวังหลังที่เขาเตรียมไว้ให้ผู้เป็นแม่จะมีประโยชน์ไม่น้อย พ่อของเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่เช้าแบบนี้
ความจำเสื่อมแล้วอย่างไร ตราบใดที่พ่อของเขายังใส่ใจแม่ รอเสียหน่อย ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องจำเรื่องราวในอดีตได้แน่นอน
ซูเซี่ยนหันไปทางองค์หญิงจาวหยางและกล่าวว่า “ท่านบอกว่าไม่เคยเห็นท่านพ่อโกรธจนน่ากลัวขนาดนี้?”
องค์หญิงจาวหยางตอบว่า “ใช่ เพิ่งจะเคยเห็นเมื่อคืนนี้เอง”
ซูเซี่ยนถามว่า “เขาโกรธอย่างไรหรือ”
องค์หญิงจาวหยางคิดจะพูด แต่แล้วก็หยุด นางชำเลืองมองซูเซี่ยนและกล่าวว่า “เจ้าไม่ยอมเรียกข้าว่าท่านอาแม้แต่คำเดียว แล้วเหตุใดข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย”
ซูเซี่ยนถามอีกว่า “แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของข้ามีพระชายารุ่ยจริงหรือเปล่า”
องค์หญิงจาวหยางกลอกตาและบอกว่า “ข้าอยู่ที่เมืองหลวงกับเขา ถ้ามีอะไรที่จวนท่านอ๋องรุ่ยข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว ที่เจ้าพูดไม่ฟังดูไร้สาระหรอกรึ”
ซูเซี่ยนยิ้ม รอยยิ้มของเขาน่ามองเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ดูรื่นรมย์เท่าซูเจ๋อ แต่เขาก็ได้รับมรดกความมีเสน่ห์มาจากพ่อ รอยยิ้มนั้นช่วยเพิ่มความน่าเอ็นดูให้เด็กน้อย ชวนให้รู้สึกเจริญตาเจริญใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาเงยหน้ามององค์หญิงจาวหยางและเรียกเบาๆ ว่า “ท่านอา”
คำว่า “ท่านอา” ได้ยินแล้วตราตรึงไปถึงหัวใจขององค์หญิงจาวหยาง
องค์หญิงจาวหยางปลื้มใจมาก นางรีบย่อตัวลงนั่งยองๆ และดึงซูเซี่ยนเข้ามากอด เมื่อเห็นซูเซี่ยนทำสีหน้ารังเกียจ องค์หญิงจึงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์และกล่าวว่า “ทำไม กอดหน่อยไม่ได้รึอย่างไร ถ้าไม่ให้กอดข้าก็จะไม่บอกเจ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...