องค์หญิงจาวหยางเห็นว่าผมของเธอปรกลงมาตรงหน้าอกและปิดลำคอไว้มิด จึงกังวลว่าเธอจะร้อนและคิดจะเดินเข้าไปหาเพื่อช่วยจัดผมให้
แต่องค์หญิงจาวหยางยังไม่ทันเข้าใกล้ ซูเจ๋อก็เข้ามาขวางหน้าไว้เสียก่อน เฉินเสียนมองแผ่นหลังสูงโปร่งของคนตรงหน้าด้วยหัวใจที่ทั้งอบอุ่นและหวั่นไหว
องค์หญิงจาวหยางเอ่ยอย่างไม่รู้ประสีประสาว่า “ข้าจะช่วยจัดพระเกศาให้พระนาง”
ซูเซี่ยนเอ่ยขึ้นมาอย่างทันท่วงทีว่า “ท่านพ่อของข้าอยู่นี่แล้ว ท่านต้องทำอะไรอีก ไม่ใช่ว่าท่านอยากดูแลข้าหรอกหรือ ยังไม่ไปอีก”
พูดจบซูเซี่ยนก็หันหลังเดินจากไปด้วยท่าทีสุขุม องค์หญิงจาวหยางรีบตามเขาไปและเอื้อมมือไปจูงมือเล็กๆ ของซูเซี่ยนไว้ ซูเซี่ยนไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็ยอมให้นางจับแต่โดยดี
เฉินเสียนที่ถูกทิ้งให้อยู่กับซูเจ๋อได้ยินองค์หญิงจาวหยางถามแว่วๆ ว่า “หลานอา เรากำลังจะไปไหนกันหรือ”
ซูเซี่ยนตอบอย่างรำคาญว่า “ท่านแค่ตามข้ามาก็พอ”
สายลมพัดโชยมาแผ่วเบา เฉินเสียนกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอเอื้อมมือไปโอบเอวซูเจ๋อจากทางด้านหลัง ซบหน้าลงบนแผ่นหลังของเขา กอดเขาไว้และถามเบาๆ ว่า “ซูเจ๋อ เราจะไปไหนกันหรือ”
เฉินเสียนออกไปกับซูเจ๋อ และอารมณ์ของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปตามปกติตอนที่ยังอยู่ในเขตพระราชวัง แต่ทันทีที่ออกจากประตูวัง พวกเขาก็จับมือกันแน่นเหมือนชายหญิงทั่วไปที่กำลังมีความรัก
อาภรณ์สีดำของซูเจ๋อโดดเด่นอยู่ภายใต้แสงแดดสดใส แขนเสื้อพลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อนๆ ซูเจ๋อหรี่ตาเล็กน้อยขณะจูงมือเธอไว้ บนใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
เฉินเสียนรู้สึกตาพร่าและละสายตาจากเขา เดินตามเขาไปขึ้นรถม้าซึ่งมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของเมืองชิงไห่
เมืองชิงไห่สร้างขึ้นติดภูเขาและทะเล ด้วยเหตุนี้ที่ด้านหลังของเมืองจึงเป็นเนินเขาซึ่งมีทุ่งหญ้าเขียวขจีทอดยาวสลับขึ้นลงไปสุดลูกหูลูกตา เป็นวิวทิศทัศน์ที่กว้างใหญ่และสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไปตามถนนของเมืองชิงไห่
ผู้คนผ่านไปผ่านมา ดูสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง
เฉินเสียนพยายามเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างผ่านช่องว่างระหว่างม่าน แต่เห็นได้ชัดว่าซูเจ๋อไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ เขาเอื้อมมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปิดบังคอของเธอไปทางด้านหลัง จากนั้นจึงถามว่า “ร้อนหรือไม่ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องปกปิดไว้แล้ว”
นิ้วขาวสะอาดสัมผัสลงบนรอยจูบที่คอของเธอ ดวงตาของซูเจ๋อหรี่แสง จากนั้นจึงค่อยๆ โน้มศีรษะเข้าไปใกล้ลำคอระหง
รถม้าคันนี้กว้างขวาง เฉินเสียนเอนตัวไปทางด้านหลังจนแทบจะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนรถม้าโดยมีซูเจ๋อกดเธอไว้
เฉินเสียนถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ท่านจะทำอะไรน่ะ”
ซูเจ๋อตอบว่า “ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่จะจูบ”
“เมื่อคืนยังจูบไม่พออีก...” ยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของซูเจ๋อก็ประกบลงมาบนรอยจูบที่ลำคอของเธอ เฉินเสียนตัวอ่อนยวบ และคำพูดสุดท้ายก็หลุดออกมาจากริมฝีปาก “เหรอ”
กระดุมที่คอเสื้อถูกปลดออกอย่างเงียบๆ เขาทะนุถนอมสุดหัวใจ จุมพิตลงไปบนรอยจูบที่ทิ้งเอาไว้บนผิวขาวนวลอย่างแผ่วเบา
ทางด้านจักรพรรดิเป่ยเซี่ย พระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าซูเจ๋อพาเฉินเสียนออกไปจากพระราชนิเวศน์อีกครั้ง ทรงตบโต๊ะในห้องบรรทมและผรุสวาทออกมาว่า “ช่างเป็นลูกที่อกตัญญูเสียนี่กะไร! ตอนนี้ข่าวลือฉาวโฉ่ไปทั่วบ้านทั่วเมือง เขายังมีแก่ใจพานางออกไปเที่ยวเล่น!
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรับสั่งให้ไปหยุดรถม้าที่กำลังเดินทางทันที
แต่เมื่อนางกำนัลผู้รับคำสั่งเดินออกไปจากห้องบรรทม นางก็พบซูเซี่ยนและองค์หญิงจาวหยางที่กำลังเดินตรงมา
ซูเซี่ยนเงยหน้ามององค์หญิงจาวหยาง องค์หญิงจึงเอ่ยอย่างรู้กันว่า “นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ”
นางกำนัลหันกลับไปมองภายในห้องบรรทมและตอบอย่างลำบากใจว่า “บ่าวได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้ไปตามท่านอ๋องรุ่ยกลับมาเพคะ”
องค์หญิงจาวหยางกล่าวว่า “โถ่ ถ้าท่านพี่กับจักรพรรดิต้าฉู่กลับมา อาเซี่ยนคงต้องกลับไปอยู่กับจักรพรรดิต้าฉู่และมาอยู่กับฝ่าบาทไม่ได้ ยากนักกว่าอาเซี่ยนจะได้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นนี้ เฮ้อ...”
ซูเซี่ยนจูงมือองค์หญิงจาวหยางและหันหลังกลับพลางพูดว่า “กลับกันเถอะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกึ่งดีใจกึ่งกลัดกลุ้มดังมาจากข้างใน “ช่างเถอะๆ ตอนนี้คงไปไกลแล้ว ถึงอย่างไรก็คงตามกลับมาไม่ได้”
สองอาหลานแอบสบตากันนิดหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องบรรทม
แม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยผู้แก่ชราจะมีทิฐิเล็กน้อย แต่พระองค์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร โดยเฉพาะกับอาเซี่ยน ซึ่งพระองค์แทบยอมจำนนต่อเขาโดยสิ้นเชิง
การที่ซูเซี่ยนมาหาเขาอีกครั้งก่อนจะออกเดินทางก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควร
เพื่อฆ่าเวลา ซูเซี่ยนจึงนำของเล่นบันเทิงจากวังต้าฉู่มาเล่นที่ห้องบรรทมของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย คนทั้งสามรุ่นนั่งอยู่ด้วยกันในท้องพระโรงที่เย็นสบายและเล่นเกมไพ่พิชิตเจ้าของที่
ตอนนี้ทั้งสามคนนั่งล้อมวงกันและจั่วไพ่ตามลำดับ ไพ่ทั้งหมดเป็นไพ่ที่ซูเซี่ยนวาดขึ้นชั่วคราว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...