ขอทานถอนหายใจยาว “ถ้าเจ้าเจ็ดอยู่ที่นี่ ข้าก็อยากจะเตือนสติเขาเสียหน่อย หวั่นเอ๋อร์งามล่มเมือง แถมนิสัยยังดีเลิศ มีความสามารถสารพัด ถ้าได้แต่งเข้าบ้าน ถือว่าเป็นบุญวาสนาส่งมาเกิด แต่ติดตรงที่เป็นบุรุษ”
หลิวอวิ๋นเซียงกัดฟัน “ท่านเชื่อไหม ถ้าเขาอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะเตือนสติเขาเช่นกัน”
เมื่อเห็นว่าหลิวอวิ๋นเซียงโกรธจริง ๆ ขอทานจึงหน้าเจื่อน ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
รุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ หลิวอวิ๋นเซียงก็กล่อมให้สิงอี้เข้านอน
จื่อจินเดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งในมือ แล้วมอบให้หลิวอวิ๋นเซียง
“พวกเราให้ลูกน้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าคาราวานเดินทางขึ้นเหนือไปขายยาสมุนไพร ปลอมตัวอย่างแนบเนียน คุณหนูไม่ต้องกังวล”
หลิวอวิ๋นเซียงอยากทราบข่าวคราวของลูกชายตลอด แต่ฤดูหนาวปีที่แล้วหิมะตกหนัก คาราวานเดินทางไม่ได้ จึงส่งข่าวไม่ได้ พอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็ฝากจดหมายไปเมืองหลวง รอจางฉีตอบกลับ ก็รอมาสองเดือนกว่าแล้ว
หลิวอวิ๋นเซียงเปิดอ่านจดหมายด้วยความกระวนกระวาย จางฉีรายงานเรื่องร้านค้าก่อน เนื่องจากฤดูหนาวปีนี้หนาวจัด ร้านขายถ่านและร้านขายเครื่องหนังจึงขายดิบขายดี ร้านขายข้าวสารก็ขยายกิจการใหญ่โต ทะลุร้านค้าทั้งซ้ายขวา ตามคำสั่งของหลิวอวิ๋นเซียง เขาจึงเปิดร้านขายยาขึ้น สมุนไพรหลายชนิดที่เตรียมไว้ ถูกกรมกลาโหมซื้อไปจนหมด ทำกำไรได้มหาศาล จางฉียังชื่นชมในจดหมายว่าหลิวอวิ๋นเซียงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ เขาก็เปิดโรงรับจำนำ ด้วยชื่อเสียงของหลิวอวิ๋นเซียง ชาวบ้านต่างให้ความไว้วางใจ กิจการของโรงรับจำนำจึงรุ่งเรืองไม่น้อย
ในตอนท้ายของจดหมาย จางฉีเพิ่งจะเอ่ยถึงสินค้าที่หลิวอวิ๋นเซียงฝากไว้ว่ายังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิก็ได้ส่งลงใต้ไปแล้ว มีกองคาราวานคุ้มกันอย่างแน่นหนา และส่งมอบถึงมือผู้รับเรียบร้อย
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ หลิวอวิ๋นเซียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นั่นหมายความว่า สิงจือ ลูกชายของนาง ได้ถูกส่งไปยังหุบเขาโอสถของอาจารย์ตามที่นางและชวีโม่หรานได้ตกลงกันไว้แล้ว
เบื้องล่างจดหมายฉบับนี้ยังมีอีกฉบับหนึ่ง เมื่อหลิวอวิ๋นเซียงอ่านจบก็ถึงกับตะลึง
เซี่ยจื่ออันยังมีชีวิตอยู่!
ครานั้น ลี่เหนียงแทงเขาเข้ากลางอก เห็นเขาสิ้นใจท่ามกลางกองเลือด จะมีทางรอดได้อย่างไร? ต่อมาตระกูลโหวก็จัดงานศพ บรรจุร่างลงโลง ฝังลงใต้ผืนดิน หรือว่าเขาจะปีนขึ้นมาจากหลุมศพได้กระนั้นหรือ?
คิดถึงตรงนี้ หลิวอวิ๋นเซียงก็รู้สึกขนลุกซู่
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เลือดเย็นไปทั่วร่าง คือเซี่ยจื่ออันกลับรับร่างที่ปลอมเป็นนางไปฝังอย่างสมเกียรติ แล้วยังไปร้องไห้คร่ำครวญที่หลุมศพทุกวัน ไม่ว่าหิมะจะตกหนักเพียงใด อากาศจะหนาวเหน็บสักแค่ไหน ชาวเมืองหลวงต่างเคยเห็นภาพเงาร่างเดียวดายของเขา และเสียงสะอื้นไห้โหยหวนท่ามกลางสายลมหนาว
“สามปีที่พลัดพรากจากกัน ทั้งยังต้องเผชิญความตาย พายุหิมะโหมกระหน่ำ โลกช่างไม่แน่นอน หวนคิดถึงวันแต่งงานในวันวาน เจ้าอยู่ในชุดแต่งงานสีแดง ข้าเองก็สง่างาม แต่แล้วไฟสงครามก็ปะทุ เจ้าร้องไห้ด้วยความอาลัย ข้าจำต้องแบกหอกออกศึก...”
ชาวเมืองเซิ่งจิงต่างพากันสรรเสริญความรักอันลึกซึ้งที่เซี่ยจื่ออันมีต่อนาง แม้กระทั่งแต่งเป็นบทเพลงขึ้นมาร้องขับขาน
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทั้งสองได้หย่าร้างกันไปแล้ว รู้เพียงว่านางเป็นภรรยาผู้ล่วงลับของเซี่ยจื่ออัน
ส่วนเซี่ยจื่ออันผู้นั้นก็ไม่รู้ว่าไปทำบุญด้วยอะไร ถึงได้บังเอิญช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้ได้ในคราที่พระองค์เสด็จแบบไม่เป็นทางการแล้วถูกคนร้ายลอบปลงพระชนม์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ฮ่องเต้จึงทรงปูนบำเหน็จอย่างงาม พร้อมกับแต่งตั้งให้เขาสืบทอดตำแหน่งจิ้งอันโหว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามมิติรักขุนนางกังฉิน