เหยียนมู่กัดฟันแน่น “ข้ายอมตายเสียดีกว่า!”
พูดจบก็เดินกระแทกเท้ากลับมาด้วยความโมโห
ภายในห้อง หลิวอวิ๋นเซียงกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ หัวเราะจนตัวงอ
เหยียนมู่หน้าดำคร่ำเครียด “ตอนที่กองทัพของเราติดโรคหนาว ข้ายังไม่เคยอยากสบถด่าขนาดนี้เลย”
เมื่อพูดถึงโรคหนาว เหยียนมู่ก็ลุกขึ้นยืนทันที ยกมือสองข้างขึ้นประสานกันคารวะหลิวอวิ๋นเซียงสามครั้ง
“ตอนนั้นกองทัพของเราติดโรคหนาว แล้วพวกเป่ยจินก็ฉวยโอกาสลอบโจมตี ถ้าไม่ใช่เพราะสูตรยาที่เจ้ามอบให้ บวกกับที่เมืองหลวงส่งสมุนไพรมาช่วยได้ทันเวลา พวกเราทหารหลายหมื่นนายคงต้องตายกลายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายทางเหนือไปแล้ว ตัวข้าเองก็ติดโรคหนาวเหมือนกัน กินสมุนไพรที่เจ้าเตรียมไว้ให้ข้าหลายห่อเลย”
หลิวอวิ๋นเซียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “บุญคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก”
เหยียนมู่พยักหน้า “ยิ่งใหญ่กว่าการช่วยชีวิตเสียอีก”
“ถ้าเช่นนั้น ถือว่าท่านเป็นหนี้ข้า วันหน้าหากข้าต้องการให้ท่านชดใช้ ท่านอย่าบิดพลิ้วก็แล้วกัน”
“ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องคิดคำนวณกันให้ชัดเจนเช่นนี้”
“จดเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เถิด”
หลิวอวิ๋นเซียงเล่าเรื่องราวของกองทัพทิศเหนือที่ได้ฟังมาจากเยี่ยนอี๋เหนียงใหเหยียนมู่ฟัง ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมมีหนทางมากกว่านาง แต่เรื่องนี้ไม่ควรประกาศออกไป ต้องดำเนินการสืบหาอย่างลับ ๆ
“จดหมายขอความช่วยเหลือที่ท่านโหวผู้เฒ่าฝากไว้กับเยี่ยนอี๋เหนียง ไม่สามารถส่งถึงมือฝ่าบาทได้ เห็นทีการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักคงรุนแรงน่าดู” หลิวอวิ๋นเซียงเตือนเหยียนมู่
ความจริงไม่ต้องให้นางเอ่ยปาก เหยียนมู่ก็รู้ดีกว่านางอยู่แล้ว
หลังจากที่เขาอ่านจดหมายจบ ก็ส่งคืนให้หลิวอวิ๋นเซียง “ข้าจะส่งคนไปสืบ เจ้ารอฟังข่าวเงียบ ๆ ก็แล้วกัน”
“ได้”
ด่านเจิ้นเป่ยไร้ซึ่งวี่แววสงคราม เหยียนมู่จึงได้ทีอาศัยอยู่ในเมืองเยี่ยนกุยต่อไป วันเวลาผ่านไป เขาได้สอนให้สิงอี้หัดเดิน สอนให้เรียกพ่อแม่ เมื่อว่างก็จะอุ้มออกไปเดินเล่นที่ตลาด ไม่ว่าลมจะหนาวเหน็บเพียงใด ฝึกฝนเช่นนี้มาเดือนหนึ่ง เด็กน้อยกลับแข็งแรงขึ้นมาก ทานเก่งขึ้นเรื่อย ๆ จนหลิวอวิ๋นเซียงรู้สึกว่าน้ำนมของตนเองไม่เพียงพอเสียแล้ว
หลิวอวิ๋นเซียงจึงให้เหยียนมู่ดูแลสิงอี้ในตอนกลางคืน อาศัยช่วงเวลานี้ หย่านมให้กับเด็กน้อย
ผ่านไปไม่กี่วัน เหยียนมู่ก็หัดใส่เสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็กน้อยได้แล้ว ส่วนเด็กน้อยก็เกาะอยู่บนคอของเหยียนมู่ทั้งวัน เรียกท่านพ่อเสียงหวานเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดู
ทุกครั้งที่เห็นภาพเช่นนี้ หัวใจของหลิวอวิ๋นเซียงก็พลันรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
บุตรชายของนางอยู่ไกลแสนไกล ไร้ซึ่งบิดามารดาเคียงข้าง
“เหตุใดจึงไม่แจ่มใสเล่า?” เหยียนมู่เอ่ยถาม เมื่อเห็นหลิวอวิ๋นเซียงมีสีหน้าโศกเศร้า
หลิวอวิ๋นเซียงชะงักไปครู่หนึ่ง “หากข้าให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจะทำเช่นไร?”
เหยียนมู่หัวเราะ “จะทำเช่นไรได้ ก็คงต้องก่อกบฏ หากก่อกบฏไม่สำเร็จ พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกก็คงต้องลงนรกไปด้วยกัน”
หลิวอวิ๋นเซียงตัวสั่นเทา เขาคิดจะสร้างความวุ่นวายไปทั่วแผ่นดิน คิดจะเอาชีวิตเข้าแลก ทั้งที่ตอนนี้เขายังไม่มีอำนาจมากพอ ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไข่ไปตีหิน นางไม่กลัวตาย แต่ไม่อาจปล่อยให้ลูกชายต้องมาจบชีวิตลงพร้อมกับพวกเขาได้
เหยียนมู่รวบตัวหลิวอวิ๋นเซียงเข้าสู่อ้อมกอด ก่อนจะจุมพิตนางหลายที “กลัวตายหรือ?”
“กลัว”
เหยียนมู่กระชับอ้อมแขนแน่น “เราไม่กลับเมืองหลวงแล้ว”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามมิติรักขุนนางกังฉิน