“แต่บางครั้งก็ฝัน ฝันว่าเจ้าตายจากไปจริง ๆ”
“ในฝันนั้น ท่านเคยร้องไห้ให้ข้าบ้างไหม?”
“ร้องจนหมอนเปียกโชกเลยล่ะ”
“จริงหรือ?”
“ไม่จริง”
หลิวอวิ๋นเซียงโกรธจึงหันหลังให้เขา ชาติที่แล้วหลังจากเขาตาย นางเผากระดาษเงินกระดาษทองให้เขามาหลายสิบปี ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง แต่เขากลับไม่เคยหลั่งน้ำตาให้นางแม้แต่หยดเดียว
เหยียนมู่มองลึก “ตอนนั้นข้าคลุ้มคลั่ง อยากจะฆ่าคนให้หมดสิ้น”
เขาบุกตะลุยเข้าไปในค่ายศัตรู เกือบเอาชีวิตไม่รอด ภายหลังกองทัพเป่ยจินบุกมาโจมตีอีกหลายครั้ง เขาก็ยังคงเป็นผู้นำทัพออกรบเสมอ บาดแผลเก่ายังไม่ทันหายดี ก็มีบาดแผลใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก จนกระทั่งพ่อบุญธรรมส่งข่าวมา เขาจึงยอมวางดาบลง แล้วเขาก็ล้มป่วยเป็นโรคหนาว กินยาที่นางให้จึงหายดี
หลิวอวิ๋นเซียงขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงรอยแผลเป็นบนร่างกายของเหยียนมู่ หัวใจของนางก็สั่นสะท้าน นางหันกลับมาซบหน้าแนบอกของเหยียนมู่ เหตุผลมิอาจฉุดรั้งนางไว้ได้ มือจึงลูบไล้ไปบนหน้าอกของเขา
“ในนี้มีข้าอยู่บ้างไหม?”
ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดกระโชกแรง
เสียงของหลิวอวิ๋นเซียงล่องลอยไปกับสายลม ไร้ซึ่งร่องรอย
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ภูมิประเทศก็ยิ่งสูงชันขึ้น ลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลิวอวิ๋นเซียงซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเหยียนมู่ ใจหนึ่งก็เริ่มคิดอยากจะกลับแล้ว
“ถึงแล้ว”
“เอ๋?”
เหยียนมู่เปิดเสื้อคลุมตัวใหญ่ ก้มหน้าลงยิ้ม “บนฟ้า ท่ามกลางหมู่เมฆ”
หลิวอวิ๋นเซียงหันไปมอง ก็เห็นท้องฟ้าสีครามสดใส เมฆสีขาวลอยละล่อง เคลื่อนตัวไปตามแรงลม ม้วนตัว แล้วสลายหายไปในแสงระยิบระยับบนผิวน้ำ
ที่นี่คือทะเลสาบกลางทะเลทราย น้ำในทะเลสาบใสสะอาด ผืนน้ำราบเรียบดุจดั่งกระจกเงา สะท้อนภาพท้องฟ้าและเมฆขาว มองไปไกล ๆ ต้นหลิวและต้นหูหยางขึ้นเรียงรายอยู่ริมทะเลสาบ ยอดไม้สีทองอร่าม เมื่อลมพัดผ่าน ใบไม้สีทองนับพันนับหมื่นใบก็ปลิวขึ้น ร่ายรำอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงบนผืนน้ำ ราวกับแสงสีทองที่โปรยปรายลงมาจากหมู่เมฆ
“งามเหลือเกิน!” หลิวอวิ๋นเซียงมองจนตะลึงพรึงเพริด เผลออุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
เหยียนมู่โอบหลิวอวิ๋นเซียงลงจากหลังม้า พาเดินเลียบไปตามชายฝั่งทะเลสาบ
ระหว่างทาง นางยังเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งใบร่วงหล่นจนหมดสิ้น แม้ไร้ซึ่งใบ แต่บนกิ่งก้านกลับมีริบบิ้นสีแดงผูกไว้มากมาย พลิ้วไสวไปตามสายลม ราวกับภาพงามวิจิตรท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง
“เล่ากันว่าเมื่อร้อยปีก่อน องค์หญิงท่านหนึ่งของเป่ยจินหลงรักแม่ทัพผู้พิทักษ์ชายแดนของต้าหรง คนทั้งสองร่วมกันสร้างกระท่อมดินริมทะเลสาบอวิ๋นจิ้ง ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันถึงสิบปี กระทั่งเกิดสงครามระหว่างเป่ยจินและต้าหรง ทั้งสองต้องแบกรับภาระหน้าที่และความแค้นของบ้านเมือง จำใจต้องพรากจากกัน ยามลาจาก องค์หญิงเป่ยจินได้นำผ้าแพรสีแดงสองผืนมาผูกเข้าด้วยกัน แล้วนำไปแขวนไว้บนต้นทับทิมที่นางปลูกไว้กับมือ ภาวนาต่อเทพเจ้า นางมิได้ปรารถนาจะพบกันในชาติหน้า แต่ขอเพียงให้ได้เกิดใหม่ ขอให้นางยังคงเป็นองค์หญิง เขายังคงเป็นแม่ทัพแห่งแคว้นศัตรู แม้จะมีเวลาเพียงสิบปี นางก็ยังคงเป็นนาง เขาก็ยังคงเป็นเขา มิใช่ใครอื่น” เหยียนมู่กล่าว
เมื่อมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ หลิวอวิ๋นเซียงมองต้นไม้ที่ไร้ใบ ลำต้นของมันแข็งแรงใหญ่โต ดูเหมือนจะมีอายุเป็นร้อยปีจริง ๆ และเป็นต้นทับทิมอย่างที่เขาว่าไว้ บนกิ่งก้านมีผ้าแพรสีแดงผูกติดไว้มากมายจนเต็มต้น


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามมิติรักขุนนางกังฉิน