แน่นอนว่าที่เขาพูดเช่นนั้นไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกใดๆ กับนาง แต่เป็นเพราะเขาไม่ยอมให้คนที่อยู่ภายใต้การควบคุมหลบหนีไปได้ต่างหาก
ระหว่างทานอาหารเย็น หลิวอวิ๋นเซียงอาเจียนออกมาทันทีตั้งแต่กินเข้าไปคำแรก ก่อนรีบสั่งให้จิ่นเยียนเอาอาหารทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยิน ลองไปหาหมอดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลิวอวิ๋นเซียงโบกมือ “ไม่จำเป็น”
“แต่สองวันที่ผ่านมาท่านทานอะไรไม่ได้เลย จะปล่อยไว้เช่นนี้ได้อย่างไร”
หลิวอวิ๋นเซียงส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าตั้งครรภ์”
“เอ๊ะ” ดวงตาของจิ่นเยียนเบิกกว้าง “ละ...ลูกของใครเจ้าคะ”
พูดจบ จิ่นเยียนก็รีบตบปากตัวเองอย่างแรง จะเป็นใครได้อีกนอกจากขุนนางกังฉินน่ารังเกียจคนนั้น
“ข้าเป็นฮูหยินสามแห่งจวนโหว เป็นหม้ายแต่กลับตั้งครรภ์กับตุลาการศาลต้าหลี่ หากบอกออกไปคงต้องอับอายขายขี้หน้า โดยเฉพาะพ่อแม่ของข้า หากพวกเขารู้คงจะบีบให้ข้าต้องแขวนคอตาย”
หลิวอวิ๋นเซียงระบายความขมขื่นในใจ พ่อของนางเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ ปฏิบัติตามหลักตามทำนองคลองธรรมมาตลอด หลังจากนายท่านสามแห่งจวฯโหวจากไป เขาก็บอกนางว่าไม่ให้แต่งงานใหม่อีกตลอดชีวิต ต้องเป็นหม้ายพรหมจรรย์เพื่อสามีที่ล่วงลับไป
ส่วนแม่ของนางมาจากครอบครัวต่ำต้อย จึงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของนางเป็นอย่างมาก คอยสอนคุณธรรมสตรีตั้งแต่ยังเด็ก และไม่ยอมให้นางกระทำผิดแม้แต่น้อย
ในอดีต นางมักเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ เก็บตัวอยู่ในห้องและไม่สุงสิงหรือพูดคุยกับบุรุษ
หลังจากแต่งงานเข้าจวนโหว นางกตัญญูต่อผู้อาวุโสและดูแลผู้น้อย ต่อให้เป็นหม้ายไปตลอดชีวิตก็ไม่คิดคิดพร่ำบ่น
แต่สุดท้ายสิ่งนางได้รับกลับมาคืออะไร
ครั้งนี้นางอยากเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองบ้างแล้ว
จิ่นเยียนจับมือหลิวอวิ๋นเซียงและถามด้วยตาแดงก่ำ “ฮูหยิน ท่านคิดทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ”
หลิวอวิ๋นเซียงได้แต่ยิ้มเย้ยหยัน “ข้าจะทำอย่างไรได้อีก ก็คงต้องรอให้เซี่ยจื่ออันกลับบ้าน และยอมรับเป็นพ่อของลูกในท้องน่ะสิ”
คืนนั้น ขณะที่หลิวอวิ๋นเซียงกำลังเข้านอน ฮูหยินเฒ่าก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
หลังจากเข้ามาในบ้าน เสียงร้อนใจก็ดังขึ้น “เหตุใดไม่ไปปรนนิบัติรับใช้เจ้าคนสารเลวนั่น”
หลิวอวิ๋นเซียงถามกลับด้วยตาแดงก่ำ “ท่านแม่ นี่ท่านกำลังพูดสิ่งใดออกมา ท่านอยากให้ลูกสะใภ้ไปปรนนิบัติรับใช้ชายอื่นหรือ”
ฮูหยินเฒ่าได้ยินถึงกับสำลัก “ตะ...แต่พี่รองของเจ้ายังอยู่ในมือของเหยียนมู่...”
“ข้ารู้สึกละอายใจต่อบรรพบุรุษตระกูลเซี่ย รู้สึกละอายใจต่อนายท่านสาม!” หลิวอวิ๋นเซียงตัดบทคำพูดของฮูหยินเฒ่าและกุมอกร้องไห้อย่างขมขื่น
“หากวิญญาณของนายท่านบนสวรรค์รับรู้ เขาต้องด่าข้าว่าเป็นนางจิ้งจอก ชอบยั่วยวนบุรุษอย่างแน่นอน”
ฮูหยินเฒ่าหน้าแดงก่ำทันที “นี่ นี่เจ้า...”
คงไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูดกับบุตรชายคนเล็กกระมัง
เป็นไปไม่ได้ หากอีกฝ่ายรู้ว่าบุตรชายคนเล็กของนางยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่สงบสติอารมณ์ได้อย่างแน่นอน
“ฮูหยิน ว่ากันว่าหัวใจของมนุษย์เลือดเนื้อ แต่หัวใจของพวกเขาเป็นดั่งหิน มันแข็งกระด้างและไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยอย่างนั้นหรือ”
หลิวอวิ๋นเซียงไม่ตอบ พร้อมชี้ไปยังต้นท้อที่อยู่นอกหน้าต่างและพูดว่า “พรุ่งนี้หาคนมาตัดต้นท้อออกไปเสีย”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ”
“ปลูกต้นบ๊วยแดงดีกว่า ผลิดอกบานในฤดูหนาว งดงามไม่มีผู้ใดกล้าแก่งแย่ง”
คืนนั้น หลิวอวิ๋นเซียงนอนไม่หลับเพราะหิวที่ไม่ได้กินอะไรมาสองวัน จึงให้จิ่นเยียนทำบะหมี่ชามหนึ่ง แต่ทันทีที่กินเข้าไป นางก็อาเจียนน้ำย่อยออกมาจนหมด
หลังจากทรมานเกือบทั้งคืน นางก็ผล็อยหลับไปตอนรุ่งสาง
กว่าจะตื่นอีกครั้งก็เกือบเที่ยงวันแล้ว
“ฮูหยิน แม่นางห้าแวะมาคารวะท่านตั้งแต่เช้า แต่เห็นว่าท่านกำลังหลับอยู่ นางก็เลยฝึกคัดลายมืออยู่ที่ห้องปีกตะวันออกเจ้าค่ะ”
จิ่นเยียนประคองหลิวอวิ๋นเซียงลุกขึ้นนั่ง และพูดขึ้นอย่างลังเล
ฮูหยิน บ่าวขอบังอาจถามนะเจ้าคะ...เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงไม่ยอมพบหน้าแม่นางห้าเลย”
หลิวอวิ๋นเซียงตกตะลึงทันทีที่ได้ฟัง
แม่นางห้าหรือเซี่ยเหวินเซียงเป็นบุตรของอนุบ้านรอง ปีนี้นางอายุเพียงแปดขวบ แม่ของนางล้มป่วยและสิ้นใจจากไปหลังจากนางเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ตอนที่เกิดเรื่องในจวนโหว นางเพิ่งอายุห้าขวบ ฮูหยินรองไม่สนใจดูแลนางเลย ฮูหยินเฒ่าเองก็เช่นกัน ดังนั้นหลิวอวิ๋นเซียงจึงพาแม่นางห้าที่อายุน้อยที่สุดมาดูแลที่เรือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามมิติรักขุนนางกังฉิน