“ล้อเล่น ทำไมต้องโกรธด้วย ฉันผิดไปแล้ว ผิดแล้วจริง ๆ” นาโนรีบยิ้มละมุนละไมแล้วขอโทษ จากนั้นพูดต่อว่า “แม่ของเขากำลังบีบบังคับอยู่ ถ้าพักอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเตชะโสภา ไม่ใช่แค่ฉัน รวมทั้งเขาด้วย ล้วนไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่ ฉันอยากย้ายออกมา จะได้สบายหูสบายตา”
“แบบนี้ก็ถูก แต่ฉันรู้สึกว่าเธอหมกอยู่แต่ในห้อง มันเหมือนหาความสงบสุขที่ไหน” ยู่ยี่ชี้หน้าผากเธอ “รู้ว่าเธอไม่สบายใจและรู้สึกเธอมีเรื่องกังวลใจมาก แต่มันคือความจริง ดนัยไม่สนใจเธอ แต่เธอก็ดีกว่าพวกที่ไม่มีแขนขาหรือเป็นโรคมะเร็ง ไม่ใช่”
นาโนพยักหน้าหงึก ๆ สื่อให้เห็นว่ารู้แล้ว เธอยกถ้วยขึ้นมา“ให้ฉันกินหมดก่อนได้ไหม?”
นึกถึงคำพูดของเชอร์รีนตอนเที่ยง มุมปากยู่ยี่ขยับ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ช่วงนี้สภาพจิตใจนาโนย่ำแย่อยู่แล้ว เธอไม่อยากเพิ่มให้เธอรู้สึกหนักอึ้งขึ้น
อีกอย่าง เชอร์รีนก็ไม่มั่นใจถึงผู้หญิงคนนั้น ดังนั้นช่างเถอะ อย่าพึ่งพูดเลย
เช้าวันถัดมา
ยู่ยี่ไปที่บริษัท พึ่งไปที่ห้องทำงาน ผู้จัดการก็เรียกเธอเข้าพบ
เธอเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของผู้จัดการ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น“บริษัทมีสัญญาฉบับจะมอบหมายให้คุณทำ”
“ฉันยังมีสัญญาที่ทำไม่เสร็จ และจะเริ่มงานแล้ว ถ้างานเยอะเกินเกรงว่าฉันคงรับไม่ไหวนะคะ”
ผู้จัดการยิ้ม“สัญญาฉบับนี้ง่ายมาก ทั้งสองฝ่ายคุยกันไว้แล้ว เหลือแค่ไปเซ็นสัญญาเท่านั้น คุณทำได้อยู่แล้ว”
“……”ยู่ยี่ไร้คำจะพูด เหลือเพียงเซ็นสัญญา แล้วทำไมต้องมอบหมายให้เธอทำด้วยไม่เท่ากับให้เธอได้เปรียบหรอกหรือ?
เธอรู้สึกว่าผู้จัดการต้องไม่มีเจตนาดีแน่
“อันนี้คือหนังสือสัญญา คุณไปตอนบ่าย จำไว้ว่าต้องเซ็นชื่อนะ” สิ้นเสียง ผู้จัดการก็ยื่นให้เธอ ยู่ยี่ดูสองปราด
ทำไมเมื่อก่อนเขาจึงไม่รู้ว่ายู่ยี่มีความสามารถมาก อดีตคุณนายแห่งภูษาธรกรุ๊ปที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง
ยู่ยี่ขมวดคิ้วมุ่น พลางรับสัญญามา ผู้จัดการยิ้มตบไหล่เธอเบา ๆ “小申ของพวกเราออกโรง คนหนึ่งสามารถเทียบได้สามคนแน่”
ยู่ยี่มีเหงื่อซึมเต็มหัว สัญชาตญาณบอกว่าไม่ได้ง่ายขนาดนี้
พอถึงอาหารเที่ยง ยู่ยี่ลุกขึ้นเตรียมจะไปร้านอาหาร ระหว่างนี้เพื่อนร่วมงานชายณภัทรก็เดินเข้ามา“ยู่ยี่ ตอนเที่ยงมีเวลาไหมครับ?”
“ทำไมเหรอคะ?”
“ครั้งก่อนคุณช่วยผมเอาเอกสาร วันนี้ผมจะเลี้ยงข้าวเที่ยงตอบแทนคุณหน่อยครับ”
ยู่ยี่ส่ายหัว แค่เรื่องนิดเดียวเอง ทว่าณภัทรกลับยืนกรานจะเลี้ยงข้าวเธอให้ได้ ยู่ยี่จนปัญญา ได้แต่ตอบตกลง
พวกเธอเลือกร้านตรงข้ามบริษัท มีเมนูทอดกระดูกซี่โครง ข้าวเปล่า กาแฟ นม สรุปก็คือมีครบครันตามความต้องการ ทั้งสองสั่งกับข้าวเสร็จ มือถือของยู่ยี่ก็สั่นขึ้น ซึ่งเป็นข้อความจากฉันทัชที่ถามว่าเธออยู่ไหน
เธอไม่ได้คิดมากอะไร มองชื่อร้านเสร็จก็พิมพ์บอกแล้ว
เมื่ออาหารยกมาเสิร์ฟ ยู่ยี่หยิบตะเกียบเตรียมจะกิน ทว่าณภัทรกลับยกแก้วไวน์ขึ้นมาจะชนแก้ว เธอยิ้มอย่างไม่มีทางเลือก ได้แต่ยกขึ้นตาม
“ที่จริง วันนี้ผมนัดคุณมากินข้าวเที่ยงยังมีเรื่องอื่นด้วยครับ” ณภัทรเช็ดปาก ใบหน้าค่อย ๆ แดงขึ้นมา “อันที่จริงผมสนใจคุณและชอบคุณอย่างไม่รู้ตัวแล้วครับ คุณไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ตอนอยู่กับคุณ ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง สบายใจมาก คุณมีอะไรที่ผู้หญิงอื่นไม่มี ซึ่งก็คือซื่อสัตย์ แน่วแน่ ไม่กลัวความลำบาก แถมยังสวยด้วย พวก......พวกเราคบกันไหมครับ”
ยู่ยี่ที่ถือตะเกียบค้างกลางอากาศ ตัวแข็งทื่อ เดิมทีเธอคิดว่าเป็นเพียงมื้อเที่ยงแสนธรรมดา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่ามีเล่ห์กลแฝงอยู่
เธอรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย จากนั้นพลันคิดคำปฏิเสธที่เป็นมิตรและสุภาพ จะได้ไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน
กำลังคิดสรรหาถ้อยคำ บนบ่าก็หนักอึ้งกะทันหัน จานกั้นเสียงดึงดูดใจก็ดังขึ้น“กินข้าวกับเพื่อนร่วมงานเหรอ?”
ยู่ยี่หันหน้าไปมองด้านหลัง“เอ้า คุณมาเหรอ?”
ฉันทัชพยักหน้า ลากเก้าอี้ด้านข้างเธอมา จากนั้นก็นั่งไขว่ห้างด้วยมาดผู้ดีมีชาติตระกูล
ณภัทรอึ้ง จ้องฉันทัชอย่างตาค้าง ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ“คุณฉันทัช”
“สวัสดี” ฉันทัชกล่าวทักทายเสียงเรียบ ทั้งไม่ได้สนิทสนมและไม่ได้ห่างเหินมากนัก ยิ่งไม่มีความเย้อหยิ่ง จากนั้นก็มองไปยังยู่ยี่“ทำไมไม่บอกผมว่านัดเพื่อนที่ทำงานกินข้าวเที่ยงล่ะ?”
“พึ่งตัดสินใจเมื่อกี้นี่เองค่ะ” ยู่ยี่ตอบ กำลังคิดว่าจะแนะนำกันยังไงดี
และเธอยังไม่ทันปริปากพูด ฉันทัชก็ชิงพูดก่อนหนึ่งก้าว“ผมเป็นแฟนของเธอ ขอบคุณที่ชื่นชมในตัวแฟนสาวของผม …”
ประโยคง่าย ๆ ทว่ากลับประกาศสิทธิ์การครอบครองได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ณภัทรยังคงอึ้งอยู่อย่างนั้น ผู้ชายที่มาเยือนตรงหน้าแผ่รังสียิ่งใหญ่มาออกจู่โจมจนพูดไม่ออก และเกือบกัดลิ้นตัวเองด้วย“ปีนี้ยู่ยี่อายุยี่สิบเจ็ดปี แต่ยังเหมือนเด็กนักศึกษาอยู่ แต่ตอนนี้คุณฉันทัชอายุสามสิบสี่แล้ว โตกว่าเจ็ดปี แก่ไปหรือเปล่าครับ?”
แก่ ยู่ยี่ชะงัก กำลังบรรยายคำนี้กับฉันทัชอยู่หรือ?
เห็นได้ชัดว่าฉันทัชก็ชะงักไปชั่วครู่ อาจเป็นเพราะไม่เคยได้ยินจากปากคนอื่นว่าตัวเองแก่มาก่อน
ความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อตน ส่วนมากจะเป็นความเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์ สง่างาม ผู้ชายอายุสามสิบสี่กำลังดี จึงไม่เคยได้ยินคำว่าแก่เลย
ปกติเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ความไม่พอใจแวบผ่านบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาได้ยาก ทว่าก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ ถามณภัทรเสียงราบเรียบ“ใช่หรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง