สิ่งที่เธอพูดมาเหล่านั้นความจริงดูเหมือนกับอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ดนัยไม่มีคำพูดที่จะไปโต้ตอบได้เลย
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เขาไม่ได้เอ่ยพูดอีก
“รู้ว่าแกไม่ชินกับงานที่ร้าน แต่อดทนไปก่อน หลังจากนี้เดือนนึงก็ไม่ต้องทำแล้ว ทำกิจการร้านอาหาร ไม่มีการปิดร้านวันเว้นวันแบบนั้นหรอกนะ”
นีรดาเสียงอ่อนลงอีกครั้ง : “หรือว่าพรุ่งนี้แกอยากจะเห็นแม่ไปที่ร้าน?”
คำพูดนี้ออกมาจากปาก ก็เป็นการแสดงออกมาว่าประเด็นนี้สิ้นสุดลงที่ตรงนี้แล้ว
ในฐานะที่ดนัยเป็นลูกกตัญญู เป็นไปได้อย่างไรที่จะปล่อยให้นีรดาที่ยังไม่หายป่วยไปที่ร้านอาหาร?
วันรุ่งขึ้น
ดนัยยังคงไปที่ร้านอาหาร งานที่ร้านติดต่อกันทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้ามาก ในขณะเดียวกันก็ซ้ำซาก จืดชืด ไม่มีรสชาติด้วยเช่นกัน
หัสดินยังโทรมาให้ไปตีกอล์ฟด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยไปโยนโบว์ลิ่ง เสร็จแล้วนั้นก็ค่อยไปอบซาวน่า นวด แล้วค่อยไปกินอาหารฝรั่ง เปิดไวน์ที่ส่งมาทางเครื่องบิน
ดนัยอดที่จะสาปแช่งออกมาไม่ได้ เขารู้ว่าหัสดินตั้งใจ
ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะปลีกตัวออกมา กลับเจตนาพูดทุกอย่างออกมาได้อย่างสบายใจ
แล้วหัสดินก็เข้าใจขึ้นมาในทันที : “ใช่สิ เกือบลืมไปเลยว่านายยุ่งอยู่ที่ร้าน ช่างเถอะ ก็ถือว่าฉันโทรมาก่อกวนแล้วกัน นายทำงานต่อเถอะ”
เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเท่านั้น ห้องผสมวัตถุดิบก็ถูกไฟแผดเผาเหมือนกับภูเขาเปลวเพลิงอย่างไรอย่างนั้น เหงื่อชุ่ม ทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ
ยื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ดนัยอยากจะโยนสิ่งที่อยู่ในมือนี่ทิ้งไปเลยเสียจริงๆ
ในช่วงหน้าร้อนทุกๆวันก็ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ ปีนี้ไม่สามารถอยู่ในห้องแอร์ก็ว่าแย่แล้ว ไม่คิดว่าจะต้องมาคอยอยู่กับกองไฟอย่างไม่สามารถออกห่างไปไหนได้เลยแบบนี้
เวลานี้ หัสดินก็โทรมาอีกครั้ง : “เบียร์เย็นนี่ทำให้รู้สึกฟินจริงๆ ซักแก้วไหม?”
ได้ยินแล้วคิ้วของดนัยก็ขมวดขึ้น เขาอยากจะเอาหัสดินเป็นถ่านหินแล้วโยนเข้าไปในเตาเสียจริงๆ เผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
นีรดาโทรมาหาเขาเป็นบางครั้ง เหมือนกับคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหว ความรู้สึกแบบนี้แย่มาก
บาร์บี้กัดริมฝีปากเล็กน้อย หลังจากที่ลังเลอยู่หน้าร้านอยู่ประมาณห้านาที เธอก็เดินเข้าไปด้านใน
มีพนักงานเข้ามาต้อนรับทันที : “กี่ท่านคะ?”
“ฉันมาหาคนค่ะ” เธอยิ้ม ดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นคุณมาหาใครคะ?”
“มาหาประธานดนัยค่ะ ฉันเป็นผู้ช่วยเลขาของเขา ตอนนี้มีเอกสารด่วนที่จะเอามาให้เขา” บาร์บี้เอ่ยขึ้น
ได้ยินแล้ว พนักงานก็พาเธอไปยังห้องครัว หลังจากนั้นก็ถอยออกมา
ห้องครัวทางด้านหลังกับโถงที่อยู่ทางด้านหน้าแทบจะเป็นคนละโลก ฝั่งหนึ่งคือสวรรค์ และฝั่งหนึ่งคือนรก
ห้องโถงข้างหน้าเย็นมาก เธอยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องผสมวัตถุดิบ ก็รู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่ร้อนผ่าวพุ่งออกมาจากช่องว่าง
ในห้องผสมวัตถุดิบมีกระจกบานเล็กๆอยู่ บาร์บี้สามารถเห็นเสื้อเชิ้ตที่แนบทางด้านหลังของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ยิ่งเห็นถึงความแข็งแรงและความหนากว้างนี้อย่างเห็นได้ชัด
ตอนที่อยู่โรงพยาบาล แม่เห็นพาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์แล้ว ท่าทีและสีหน้าของเธอนั้นยิ่งรู้สึกพอใจอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ชาย ต่อให้มีเงิน ก็ต้องสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้!
เธอนั่งอยู่ข้างๆ เพียงแค่ยิ้มไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
แม่ก็เอ่ยขึ้นมาอีก : “ชีวิตนี้สามารถเจอกับคนที่ทำให้ตัวเองเลื่อมใสได้นั้นมีไม่มาก และยิ่งไปกว่านั้นทั้งมีความสามารถและหน้าตาดี ภูมิหลังทางครอบครัวและนิสัยดีแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะหย่าแล้ว ก็เป็นตัวเลือกได้เหมือนกัน ถ้าหากแต่งงานกับเขา หน้าแก่ๆของแม่นี่ก็มีเกียรติไปด้วย พวกญาติๆที่ดูถูกพวกเราจะไม่เข้ามาประจบประแจงกันเลยเหรอ?”
เก็บความคิดที่ไปไกลกลับมา บาร์บี้มองไปยังใบหน้าที่เป็นมิติของเขา แล้วกัดริมฝีปากอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ
ดนัยเองก็ผสมวัตถุดิบเสร็จในเวลานี้พอดี และเริ่มบดให้ละเอียด ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ขายาวๆของเขาก็ขยับแล้วเดินไปเปิดประตู
ทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ดื่มน้ำอุ่นอีกครั้ง บาร์บี้ยังคงหน้าแดงอยู่แบบนั้น ถือกล่องเก็บอุณหภูมิเดินออกมาจากร้านอาหารและมุ่งตรงไปที่บริษัท
เธอเคยบอกแล้วว่าเขามีความรู้สึกดีๆกับเธอ เมื่อก่อนยังไม่ชัดเจนไม่กล้าแน่ใจ แต่ตอนนี้ดูแล้วการคาดเดาในใจของเธอนั้นถูกต้องมากแล้ว และเป็นอย่างนี้จริงๆ!
บาร์บี้เพิ่งจะเดินออกมาจากร้านอาหาร และเชอร์รีนก็เดินลงมาจากรถพอดี ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน
และนี่ความโมโหที่อยู่ในใจของเชอร์รีนก็ได้กระตุ้นออกมาแล้ว และตามมาด้วยออกัสที่อยู่ทางด้านหลัง เธอเดินเข้าไปในร้านอาหารด้วยรองเท้าส้นสูง
พนักงานเอาเมนูมาให้ และเธอก็สั่งอาหารไปไม่น้อย
หลังจากนั้นพักหนึ่ง อาหารเสิร์ฟขึ้นมาครบแล้ว ดูแล้วรู้สึกว่าไม่เลวเลย และมีกลิ่นหอมตลบอวบอวลอีกด้วย
มุมปากมีรอยยิ้มเย็นชาขึ้น เชอร์รีนไม่ได้แตะตะเกียบ และไม่รอให้ออกัสได้จับตะเกียบเลยด้วย เธอชี้ไปที่จานอาหารพลางเอ่ยขึ้น : “ในนี้มีเส้นผม!”
พนักงานรีบเข้ามา แล้วตรวจสอบให้ละเอียด พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ไม่มีนี่ค่ะ คุณลูกค้ามองผิดแล้วล่ะค่ะ”
เธอยังคงยิ้มเยาะต่อ แล้วดึงเส้นผมออกมาโยนลงไปในจาน : “นี่ไม่ใช่ผมแล้วคืออะไร เธอมองผิดหรือฉันมองผิด?”
พนักงานยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
เชอร์รีนชี้ไปอีกจานหนึ่งแล้วบอกว่าในนั้นมีฝุ่น พนักงานก็รีบอธิบายขึ้นอีกครั้ง
เชอร์รีนไม่ได้ฟังเลย ก่อเรื่องวุ่นวายอย่างโกลาหล
พนักงานไม่เคยเจอลูกค้าที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้มาก่อน ไม่มีวิธีอื่นจึงต้องไปหาดนัยที่ครัวทางด้านหลัง
ดนัยเดินออกมา เห็นว่าเป็นเชอร์รีน เขาก็เข้าใจแล้ว
นี่เป็นการระบายอารมณ์ เธอระบายความโมโหแทนนาโน
“ดูก่อน เชฟดนัยของพวกเรายอมออกมาแล้ว เพียงแต่รสชาติอาหารโต๊ะนี้ทานยากจริงๆนะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง