บทที่377 คนเกาหลี
“เจ้าของที่ดินที่เราจะร่วมลงทุนด้วยเป็นราชาเจ้าของที่ดินค่ะ เป็นเจ้าของเหมืองแร่หลายแห่งของที่นี่ และเขาร่วมงานกับหลายบริษัท นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีคนของทางฝั่งเกาหลีญี่ปุ่นและอังกฤษ ในตอนแรกเสด็จท่านซางปาก็เตรียมจะเซ็นสัญญากับทางเราแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อีกวันต่อมาเขาก็เปลี่ยนความคิด บอกว่าจะเพิ่มราคาขึ้นเป็นสองเท่าถึงจะยอมเซ็นสัญญากับทางเรา พวกเราลองตรวจสอบดู ถึงได้พบว่ามีคนของตระกูลโจวเดินทางมาที่นี่ อีกทั้งยังเคยติดต่อกับเสด็จท่านซางปาด้วย พวกเราถึงได้รู้ ว่าเป็นเพราะตระกูลโจวคอยยุแยงอยู่เบื้องหลัง”เฉินจิงพูด
“ราชาเจ้าของที่ดิน สังคมศักดินาเหรอครับ”หลินตงพูดแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย
“ไม่ใช่ค่ะ แต่เรื่องมันก็ซับซ้อนมากเหมือนกันค่ะ”
เฉินจิงพูดอธิบายยิ้มๆ “ราชาเจ้าของที่ดินคือหัวหน้าเผ่าที่มีอิทธิพลในประเทศเจียซือ ซึ่งมีจำนวนไม่กี่คน คนในพื้นที่ส่วนใหญ่จะคุ้นชินกับการเรียกขานพวกเขาว่าราชาเจ้าของที่ดินค่ะ”
หลายประเทศในทวีปแอฟริกาใต้รวมถึงประเทศเจียซือ การปกครองของพวกเขากับประเทศของพวกเราหรือแม้แต่แถบยุโรปแตกต่างกันมาก พวกเขานอกจากจะมีรัฐบาลแล้ว ยังมีผู้ปกครองสูงสุดที่มีอำนาจอยู่สูงกว่ารัฐบาล นั่นก็คือราชาเจ้าของที่ค่ะ
ราชาเจ้าของที่มีสิทธิทุกอย่างในดินแดนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเหมืองแร่ การสร้างท่าเรือและการดำเนินงานการขายน้ำมัน ฯลฯ ล้วนถูกกำหนดโดยราชาเจ้าของที่เองและในเขตอำนาจของตนเอง พวกเขายังสามารถจัดการดินแดนและผู้คนในดินแดนของตนเองได้
ราชาเจ้าของที่มีพระราชวังเป็นของตัวเอง แล้วพวกเขายังมีกองกำลังทหารของตนเองด้วย ถึงแม้จะไม่สามารถเทียบเคียงกับกองกำลังทหารของรัฐบาลได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้แล้ว”
“เป็นประเทศที่แปลกจริงๆ มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้มีสงครามในประเทศไม่หยุด การปกครองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งแบบนี้ ไม่มีทางที่จะสงบสุขไปได้ตลอดหรอก” เสี่ยวจิงพูด
เดิมทีเขาก็เป็นทหารมาก่อน เขาจึงมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้
“ค่ะ ได้ข่าวมาว่าราชาเจ้าของที่เสด็จท่านซางปาไม่ค่อยถูกคอกับอีกสองราชาเจ้าของที่ ทำให้มักจะเกิดการปะทะกันบ่อยๆ”เฉินจิงพยักหน้าแล้วพูด
ลู่เฉินนึกถึงพวกขุนศึกของพม่าขึ้นมาทันที เพราะพวกเขามักจะเกิดสงครามภายในประเทศบ่อยๆ แต่บรรดาขุนศึกเหล่านั้นมักจะร่วมมือกัน ทำให้ทางรัฐบาลทำลายล้างพวกเขาไปไม่ได้สักที
พอได้ยินเฉินจิงพูดแบบนี้ เขาจึงรู้สึกว่าประเทศเจียซือกับพม่าไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
“รู้สึกว่าผู้คนในประเทศนี้ คงจะใช้ชีวิตอย่างลำบากมากแน่ๆ เพราะมักจะสงครามปะทุขึ้นบ่อยๆ และคนที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือประชาชนในพื้นที่” หลินตงส่ายหัวไปมา เพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้คนที่นี่ ชีวิตของพวกเขาไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัยเท่ากับชาวต่างชาติ หมดคำพูดแล้วจริงๆ
“นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วสิคะ สงครามกลางเมืองมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สุดท้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บก็คือประชาชน ในอดีตเคยมีบทกลอนว่าไว้ไม่ใช่เหรอคะ ว่า ไม่ว่าจะรุ่งเรือง ประชาชนก็ลำบาก จะล่มสลาย ประชาชนก็ลำบาก ต้องทนทุกข์ทรมาน, เสียชีวิต, เสียทรัพย์สิน ฉันคิดว่ามันเข้ากับสถานการณ์ของประเทศเจียซือในตอนนี้มาก “เฉินจิงกล่าว
“มันก็จริงครับ ไม่ว่าคนไหนจะได้รับชัยชนะ คนที่ลำบากที่สุดก็คือประชาชน” เสี่ยวจิงพยักหน้าก่อนจะพูดออกมา
“ประเทศของเราน่าจะมีสถานกงสุลอยู่ที่นี่ใช่ไหม”ลู่เฉินถามขึ้นมากะทันหัน
“มีค่ะ แต่ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศเจียซือ อยู่อีกเมืองหนึ่ง คุณชายใหญ่ต้องการจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเหรอคะ”เฉินจิงเอ่ยถาม
“มีพวกเขาออกหน้า แน่นอนว่ามันต้องดีกว่ามาก ปกติแล้วราชาเจ้าของที่กลุ่มนี้ น่าจะชอบร่วมงานกับเจ้าหน้าที่ราชการถึงจะถูก”ลู่เฉินพยักหน้าขึ้นลง
ในฐานะนักธุรกิจ เขารู้ดีว่าการลงทุนในสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเงินได้ และมีความเสี่ยงมาก ถ้านักธุรกิจลลุงทุนไปจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับเงินกลับคืนมา พวกเขาคงจะยกเลิกการลงทุนและจากไป สำหรับราชาเจ้าของที่แล้ว ถือเป็นความเสียหายที่หนักหนาพอตัว แล้วพวกเขาเองก็ทำอะไรกับพ่อค้าเหล่านั้นไม่ได้ด้วย
แต่ถ้าได้ร่วมงานกับทางราชการ ขั้นตอนต่างๆก็จะไม่ต้องวุ่นวายแล้ว เฉินจิงเองก็คิดถึงปัญหาที่ลู่เฉินพูดออกมาเหมือนกัน
เธอมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว จึงเข้าใจในหลายๆเรื่อง เหมือนบริษัทหลายแห่งในยุโรป ถ้าหากนักลงทุนพบว่าไม่ได้กำไรจากการลงทุน ก็คงจะยกเลิกการลงทุนแล้วจากไปทันที
“งั้นพรุ่งนี้พวกเราไปที่สถานกงสุลเลยดีไหมคะ” เฉินจิงเอ่ยถาม
“ยังไม่ไปหาพวกเขาก่อนดีกว่า รอผมลองคุยกับราชาเจ้าของที่ดูก่อน” ลู่เฉินนิ่งคิด เซนต์ของเขาบอกว่าให้ลองไปเจรจากับราชาเจ้าของที่ดูก่อนค่อยวางแผนอีกที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คุณพ่อสายเปย์