Chapter 43 อายุขัยแสนสั้น
เจ้าของร่างสูงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ฝืนกำลังทั้งหมดที่มีพยุงร่างเดินมาที่เรือนป่าไผ่ ใบหน้าที่เคยสดใสเวลานี้ซีดเซียวราวกับกระดาษ ริมฝีปากแห้งแตกดวงตาแดงก่ำคล้ายมีเลือดหล่อเลี้ยงแทนหยาดน้ำตา
“ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้วสินะ”
เขาหอบร่างอ่อนแรงนั่งลงที่โต๊ะเขียนตำรา หยิบพู่กันขึ้นมาตวัดตัวหนังสือลงไปอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาอ่านทวนแล้วพับเป็นสามทบวางเอาไว้บนโต๊ะ
เหนื่อยเหลือเกิน...
แต่นับจากนี้เขาจะหายเหนื่อย หายจากความทรมานราวกับเนื้อหนังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ พ้นจากความทุกข์ทางกาย เหลือไว้แต่ความทุกข์ทรมานทางใจที่ต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
เขาหันไปหยิบเหิงชุยขึ้นมาแล้วเป่าเป็นท่วงทำนองตะกุกตะกักคล้ายลมหายใจที่ขาดห้วง เป็นเพลงเศร้าบาดจิตคล้ายอยากวิงวอนต่อปรโลกให้ช่วยไว้ชีวิตเขา อย่าได้พรากเขาจากคนที่รักและครอบครัวไปเลย
แต่...
ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ทุกอย่างล้วนต้องแลกเพื่อให้ได้มา แล้วเขาก็ตัดสินใจแลกสิ่งนั้นมาด้วยชีวิต ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเมื่ออายุขัยถูกลดลงทุกๆ คืนวันพระจันทร์เต็มดวง
จบสิ้นแล้วโจวจือหยวน ต่อไปก็คงเหลือทิ้งไว้เพียงเถ้ากระดูก และป้ายชื่อที่หอบรรพชนเพื่อให้ลูกหลานได้กราบไหว้เท่านั้น
จะห่วงก็แต่ภรรยาสาว กระนั้นเขาได้พยายามกรุยทางและอุปสรรคขวากหนามที่จะเข้ามาในชีวิตของนางออกไปจนหมดสิ้น ได้สอนงานและหาบ่าวรับใช้ชายหญิงที่ดีเพื่อเป็นแขนขาให้กับนางยามไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง
อีกทั้งยังปรับปรุงโรงเตี๊ยมให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ แล้วยังยอมรับคำขอร้องจากท่านนายอำเภอในการช่วยเป็นธุระในเรื่องของสถานที่จัดงานต้อนรับชาวคณะจากแคว้นหาน ก็เพราะโจวจือหยวนต้องการให้เกิดบุญคุณต่อกัน วันข้างหน้าหากฉานอิงมีเรื่องเดือดร้อนก็จะร้องขอความช่วยเหลือจากท่านนายอำเภอได้อย่างไม่มีข้อกังขา
ฉานอิงเป็นหญิงแกร่ง เชื่อเหลือเกินว่านางจะต้องอยู่บนโลกนี้ต่อไปอย่างมีความสุขแทนเขา
มือหนาเลื่อนไปกำจี้หยกรูปหัวใจที่ปลายเหิงชุยก่อนจะค่อยๆ ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอ่านตำรา หยาดน้ำสีแดงราวกับเลือดไหลออกจากหางตาเป็นสาย
ไม่อยากตาย...
แต่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งอายุขัยให้ยืนยาวออกไปได้มากกว่านี้ จึงทำได้เพียงทำใจยอมรับโดยไม่มีสิทธิ์ร้องอุทธรณ์
ชีวิตดั่งแสงริบหรี่บนเปลวเทียน
เต้นระริกไหวลู่ไปตามกระแสสินธุ์
ก่อนจะดับดิ้นเคล้าไปกับผืนดิน
เหลือทิ้งไว้เพียงความรักอาลัยแด่เจ้า....ผู้เป็นที่รัก
ทันทีที่ปลายเท้าเหยียบย่างเข้าเขตเรือนป่าไผ่นางก็ได้ยินเสียงเหิงชุยเศร้าสร้อยคล้ายเสียงสะอื้นไห้บาดหัวใจจนนางถึงกับขมปร่าที่ลำคอ
“เศร้าจัง”
คนตัวเล็กงุนงงว่าเสียงเหิงชุยนั่นเป็นของผู้ใด ด้วยท่วงทำนองการเป่านั้นกระท่อนกระแท่นคล้ายคนเป่าไม่เป็น แต่ความเศร้าของเนื้อหาที่เป่าออกมานั้นไม่ว่าใครก็ต่างรู้จักดี เพราะมักนำบทเพลงนี้มาเป่าไว้อาลัยให้แก่ผู้ตายในสุสาน
ใครเกิดนึกพิเรนทร์นำบทเพลงเศร้ามาเป่าในเรือนเช่นนี้นะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คืนวิวาห์ไร้ใจ
สามีโคตรดี❤️❤️...
สามีน่ารัก...