คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 247

ตอนที่ 247 ให้เงิน

ไป๋จื่อยินดีนัก ในเมื่อทุกคนล้วนห่วงใยนาง เช่นนั้นนางก็จะรับความรู้สึกของทุกคน ถึงอย่างไรตอนนี้นางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา นางก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น

และการดูแลเอาใจใส่เช่นนี้คงจะไม่คงอยู่นาน ตามอายุของนางที่จะเพิ่มขึ้น

ทั้งสี่คนล้วนเป็นคนทำงานฝีมือดีทั้งสิ้น ใช้เวลาไม่นานมากนัก ก็เก็บเกี่ยวมันฝรั่งใส่ถุงผ้าที่นำมาจนเต็มแน่นแล้ว

ถุงผ้านี้จ้าวหลานเป็นคนเย็บเอง เมื่อวานพวกนางมาขุดมันฝรั่งครึ่งถุงกลับไป เมื่อลองชั่งอยู่ที่บ้านดูแล้ว พบว่าครึ่งถุงหนักยี่สิบห้าชั่ง เช่นนั้นสองถุงก็จะหนักเท่ากับห้าสิบชั่ง ไป๋จื่อนำถุงมาทั้งหมดห้าใบ เมื่อใส่มันฝรั่งจนเต็มทั้งหมดแล้ว ก็จะมีน้ำหนักทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบห้าชั่ง

ก่อนจะจากไป หญิงสาวที่มาช่วยงานก็เตือนไป๋จื่อว่า “จื่อยาโถว เจ้าไม่ทำสัญลักษณ์บนที่ดินหน่อยหรือ”

ไป๋จื่อไม่เข้าใจนัก “ทำสัญลักษณ์? เหตุใดต้องทำด้วยเล่าเจ้าคะ”

หญิงสาวคนหนึ่งกล่าว “จื่อยาโถว เจ้าอายุยังน้อย มีเรื่องมากมายที่เจ้ายังไม่รู้ เรื่องนี้ก็มีเหตุผลเช่นกัน พี่สาวอย่างข้าจะบอกเจ้าให้ คนในหมู่บ้านของพวกเรานี้ ภายนอกของแต่ละคนดูอ่อนโยน นิสัยดี แต่ในใจของทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัวอยู่ ทุกวันนี้ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ยากลำบาก อีกทั้งข้าวสาลีของพวกเขายังไม่ออกรวง ทว่าแตงดินของเจ้ากลับเก็บเกี่ยวได้ก่อนแล้ว บางคนยังรักเกียรติของตนเอง อาจจะไม่ทำอะไรไม่ดีกับแตงดินของเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ไว้นะ คนไม่มีเกียรติในหมู่บ้านของพวกเราก็ไม่ถมไปเช่นกัน”

ไป๋จื่อเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อพูดถึงคนที่ไร้เกียรติ นางก็พลันนึกถึงสกุลไป๋เป็นอันดับแรก คนสกุลไป๋ขึ้นชื่อเรื่องความหน้าไม่อาย พวกเขาอาจจะมาทำอะไรมิดีมิร้ายกับมันฝรั่งของนางก็ได้

“ตกลงเจ้าค่ะ ข้าจะทำสัญลักษณ์ไว้” นางกลับไปยังที่ดิน ก่อนจะหยิบก้อนหินทำสัญลักษณ์สองสามรูปแบบบนที่ดิน ขอเพียงมีคนแตะต้องมันฝรั่งที่นี่ นางมองสัญลักษณ์เพียงปราดเดียวก็จะรู้

เมื่อพวกเขากลับถึงหมู่บ้านแล้ว ไป๋จื่อก็หยิบห้าสิบทองแดงออกมา ก่อนจะมอบให้หญิงสาวสองคน คนละยี่สิบห้าเหรียญทองแดง พร้อมทั้งมอบมันฝรั่งสองชั่งให้พวกนางด้วย

หญิงสาวทั้งสองดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้ยี่สิบเหรียญทองแดง เหตุใดถึงเพิ่มมาอีกห้าเหรียญเล่า”

ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “วันนี้ลำบากพวกท่านแล้ว ถือเสียว่าเป็นรางวัลในการเก็บเกี่ยววันแรกแล้วกันนะเจ้าคะ ยังมีแตงดินอีกสองชั่งให้พวกท่านนำกลับไปกินด้วย จำไว้นะเจ้าคะ ต้องรีบกินให้หมด หากปล่อยทิ้งไว้นานจนเกินไป แตงดินจะแตกหน่อหรือกลายเป็นสีดำ เช่นนั้นก็ไม่อาจกินได้แล้ว”

หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดต่อ “มิน่าเล่า ทีแรกที่บ้านของบ้านข้าก็ปลูกแตงดินจำนวนหนึ่งเช่นกัน ทั้งบ้านข้ากินเข้าไปไม่น้อยก็ไม่เห็นจะถูกพิษอะไร ตอนที่ได้ยินข่าวลือเช่นนั้น ข้ายังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ แต่ต่อมาข่าวลือแพร่สะพัดไปจนทั่ว จนข้าเองก็จำต้องเชื่อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”

“แตงดินเป็นของดีเจ้าค่ะ พวกท่านอย่าได้ทิ้งขว้างมันเลย” ไป๋จื่อกล่าว

พวกนางสองคนกล่าวขอบคุณแล้วถึงกลับไป ระหว่างทางเบิกบานใจจนยิ้มไม่หุบ พบใครเข้าก็อดพูดโอ้อวดเสียยกหนึ่งไม่ได้

จะไม่ให้พูดอวดได้อย่างไร บางครั้งบุรุษที่บ้านของพวกนางหางานจิปาถะทำ เหนื่อยแทบตายตลอดทั้งวันยังหาเงินไม่ได้มากเท่านี้เลย พวกนางเพียงตามไป๋จื่อไปขุดแตงดินเล็กน้อย ก็ได้เงินมามากมายถึงเพียงนี้แล้ว

ไม่นานเรื่องนี้ก็ไปถึงหูของสกุลไป๋ หญิงชราโกรธจนตาเขียว “นางเด็กน่าตายผู้นี้ ได้กำไรก็ไม่รู้จักคิดถึงท่านลุงทั้งสองคน คิดไม่ถึงเลยว่าจะนำเงินให้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันพวกนั้น ช่างน่าโมโหเสียจริง”

หลิวซื่อเติมน้ำมันใส่กองไฟ “ไม่เพียงแค่ให้เงิน ยังให้แตงดินอีกด้วย พวกข้าอยากขอแตงดินของนางมาเล็กน้อยเช่นกัน ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก นางก็ทำให้พวกเราอับอายถึงเพียงนี้แล้ว”

……….

ตอนที่ 248 เสนอแยกบ้านอีกครั้ง

เจ้าใหญ่เดินออกมาจากด้านหลัง หน้าง้ำงอ “ท่านแม่ เหตุใดวันนี้ถึงกินผักป่าอีกแล้ว หาอย่างอื่นมากินบ้างไม่ได้เลยหรือ”

ดวงตามีริ้วรอยของหญิงชรามองตาขวางใส่ลูกชายคนโต “หากเจ้าเก่งนักก็ไปหากินเอง หาของสดใหม่มาให้พวกข้าทุกคนกินด้วยเลยก็แล้วกัน”

“ท่านแม่ ใช่ว่าท่านจะไม่มีเงิน เหตุใดต้องทำให้ทุกคนร่วมลำบากไปกับท่านด้วยเล่า ท่านนำเงินออกมาซื้อข้าวสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” เจ้าใหญ่กล่าว

จางซื่อและเจ้ารองก็เดินออกมาจากในเรือนเช่นกัน ฝ่ายจางซื่อรีบพูดต่อเจ้าใหญ่ทันที “พี่ใหญ่พูดถูก บ้านของพวกเราใช่ว่าจะไม่มีเงินซื้อข้าว เหตุใดยังต้องกินผักป่าด้วยเล่า เสี่ยวเฟิงยังดี มีไข่ไก่กินบำรุงร่างกายทุกวัน แต่ฟู่กุ้ยกับเจินจูของข้าเล่า ฟู่กุ้ยยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต พักนี้เจินจูก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของเด็กๆ จะต้องพังเสียหายแน่”

หลิวซื่อเห็นจางซื่อพูดถึงเสี่ยวเฟิง ในใจของนางย่อมไม่พอใจ “น้องสะใภ้หมายความว่าอย่างไร เสี่ยวเฟิงกินไข่ไก่แล้วอย่างไร ต่อไปเขาจะต้องเป็นขุนนาง หากไม่กินไข่ไก่บำรุงร่างกาย แล้วเขาจะเรียนหนังสือได้หรือ สมองฝ่อกันหมดพอดี”

จางซูเหมยถลึงตามองสะใภ้ใหญ่ “สะใภ้ใหญ่ ในเมื่อพูดเช่นนี้ ข้าก็จะให้ฟู่กุ้ยเข้าโรงเรียนตั้งแต่ปีหน้าเป็นไป กินไข่ไก่บำรุงร่างกายทุกวันเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเขาจะสมองฝ่อ ว่าแต่เจ้ามีสิทธิ์อะไร ทุกคนล้วนเป็นคนสกุลไป๋ เหตุใดไป๋เสี่ยวเฟิงถึงเข้าเรียนได้ แต่ฟู่กุ้ยของข้าเข้าเรียนไม่ได้อย่างนั้นหรือ เหตุใดต้องประเคนของดีและของอร่อยในบ้านให้กับไป๋เสี่ยวเฟิง ส่วนฟู่กุ้ยของข้าได้เก็บของที่เขาไม่ต้องการกินอย่างนั้นหรือ”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวซื่อก็แค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง แล้วพูดขึ้นเสียงว่า “มีสิทธิ์อะไร? นั่นก็เพราะเสี่ยวเฟิงของข้าฉลาดกว่าฟู่กุ้ยของเจ้า หากให้ฟู่กุ้ยของเจ้าไปเรียน เขาจะเรียนได้หรือ”

จางซื่อโมโหจนทนไม่ไหวแล้ว นางกล่าวด้วยความโกรธขึ้ง “ที่แท้ก็ดีแต่ปากพูด ในเมื่อสะใภ้ใหญ่คิดเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน วันนี้ข้าขอแสดงจุดยืน ว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะต้องส่งฟู่กุ้ยเข้าเรียนด้วย หากไม่ส่ง เช่นนั้นข้าก็จะแยกบ้าน พวกข้าจะหาเงินส่งเขาเรียนเอง เหตุใดข้าต้องส่งเสียบุตรชายของพวกเจ้าเรียน ทว่าบุตรชายของตัวเองกลับกินข้าวไม่อิ่มด้วยซ้ำไป!”

ทันทีที่หลิวซื่อได้ยินจางซื่อเสนอแยกบ้าน นางก็พลันลนลาน รีบมองไปยังแม่สามี

หญิงชราถลึงตามองหลิวซื่ออย่างดุดันครั้งหนึ่ง นับเป็นการกล่าวโทษว่าวาจาของนางเมื่อครู่นี้ช่างไม่น่าฟังเอาเสียเลย จึงไม่แปลกที่จางซื่อจะบันดาลโทสะเช่นนี้ จางซื่อไม่ใช่จ้าวหลาน ถึงได้จะยอมถูกรังแกง่ายๆ เช่นนั้น

“เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าถกเถียงกันเลย ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย ได้ยินแต่คำว่าแยกบ้านๆ อยู่ตลอด น่ารำคาญใจจนข้าแทบจะอึดอัดตายแล้ว” หญิงชรากล่าวเสียงเย็น

ภายนอกนางดูเหมือนกำลังไกล่เกลี่ย ทว่าความจริงแล้วกลับมองไปทางจางซื่อ แล้วจางซื่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ไฟโทสะในใจของสะใภ้รองคนนี้กำลังจะปะทุอีกครั้ง ทว่าเจ้ารองที่อยู่ข้างกายก็รีบพูดขึ้นมา “ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย มาคิดกันดีกว่าว่าพวกเราจะมีชีวิตกันต่อไปอย่างไร ข้าวสาลียังเก็บเกี่ยวไม่ได้ ในบ้านไม่มีข้าวสารตุนไว้เลย กินผักป่าก็กินได้ไม่นานเท่าไรนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่ออากาศเย็นลงแล้ว ผักป่าก็ย่อมไม่มีเช่นกัน แล้วถึงตอนนั้นพวกเราจะทำอย่างไรกันดี”

เจ้าใหญ่ก็กล่าวเช่นกัน “ท่านแม่ ท่านก็เหลือเกินจริงๆ ทั้งครอบครัวของเราใกล้จะอดตายแล้ว ท่านจะเก็บเงินพวกนั้นไว้ทำอะไร หากทั้งบ้านหิวตายกันหมด จะยังนำเงินนี้ติดตัวไปได้อีกหรือ”

หญิงชราคิดคำนวณอยู่ในใจไม่ยอมหยุด ความจริงในหีบยังเหลือเงินอยู่บ้างจริงๆ แต่เงินเหล่านั้นเก็บไว้สำหรับจ่ายค่าเรียน และซื้อพู่กัน หมึกให้เสี่ยวเฟิงใช้ หากตอนนี้นำออกมาจากจนหมด แล้วจะนำเงินจากไหนไปจ่ายค่าเรียนของปีหน้ากัน

ทว่าปัญหาเรื่องอาหารภายในบ้านก็ทำให้นางต้องตัดสินใจอย่างเอาจริงเอาจังสักครั้ง อย่างไรก็ต้องมีวันที่กินผักป่าจนหมดเกลี้ยง หากถึงวันนั้นแล้วจะทำอย่างไรเล่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา