คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 417

ตอนที่ 417 โจวเสี่ยวเฟิง

ไป๋จื่อรับคำ ก่อนจะพาเสี่ยวเฟิงออกไป แล้วให้เขานั่งรอที่ข้างโต๊ะ ส่วนตนเองหมุนกายเข้าไปที่หลังครัว นางนำโจ๊กข้าวที่เหลือ รวมถึงผักเคียงออกมาให้เขา จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในครัว ทอดไข่ดาวมาอีกสองใบ

หูจ่างหลินเข้ามาจากในลานบ้าน เขาส่งเงินก้อนหนึ่งและกระเป๋าผ้าใบหนึ่งให้ไป๋จื่อ “นี่เป็นเงินค่าแตงดิน ส่วนนี่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เถ้าแก่เฉินให้ลูกน้องนำมาให้ ว่าแต่มันคือเมล็ดพันธุ์อะไรหรือ”

ไป๋จื่อรับถุงผ้ามา ยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะทำให้พวกเราร่ำรวยเจ้าค่ะ”

หูจ่างหลินเบิกบานใจนัก เขาเชื่อในคำพูดของไป๋จื่ออย่างยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้จะเป็นเพียงวาจาหยอกเย้า เขาก็เชื่อเช่นกัน

“แล้วหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นใครกัน” หูจ่างหลินนั่งลงข้างๆ เสี่ยวเฟิง พลางพิจารณาเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตากินโจ๊ก ดูท่าทางเขาคงหิวน่าดู

ไป๋จื่อเงยหน้ามองออกไปที่ลานบ้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้ามา คราวนี้นางถึงกล่าวว่า “ท่านลุงหู เขาคือโจวเสี่ยวกังเจ้าค่ะ เขาหนีออกมาจากค่ายทหาร หูเฟิงให้เขามาที่นี่ ต่อจากนี้ไปก็ให้เขาอยู่กับพวกเรา หากมีคนถามไถ่ถึงเขา ท่านก็บอกไปว่าเขาเป็นลูกหลานของญาติห่างๆ อย่าได้บอกว่าเขามาจากค่ายทหารเป็นอันขาด เพราะโทษจากการหนีทัพร้ายแรงนัก”

เมื่อหูจ่างหลินได้ยินดังนั้น เขาก็พลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมา รีบจับแขนเสี่ยวเฟิง ถามด้วยความร้อนใจว่า “เสี่ยวเฟิง หูเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง เขาสบายดีหรือไม่”

เสี่ยวเฟิงพยักหน้าหงึกหงัก “เขาสบายดีขอรับ ตอนนี้เขาทำงานอยู่ในกองเสบียง ไม่ได้ไปที่สนามรบ”

หูจ่างหลินรีบถอนใจด้วยความโล่งอก “ไม่ต้องไปสนามรบสิดี!”

ไป๋จื่อกลัวว่าเขาจะดีใจจนลืม จึงกำชับอีกครั้งว่า “ท่านลุงหู ท่านอย่าได้หลุดพูดเรื่องของเสี่ยวเฟิงเป็นอันขาดเลยนะเจ้าคะ”

ลุงหูพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้ารู้หนักเบาดี ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่พูด เจ้าอย่าบอกแม่ของเจ้ากับซู่เอ๋อล่ะ สตรีอย่างพวกนางชอบพูดเรื่อยเปื่อย ไม่เช่นนั้นพวกนางต้องหลุดปากแน่”

แต่ไหนแต่ไรลุงหูไม่ชอบพูดจามากความ อย่าว่าแต่นางกำชับเขาเช่นนี้เลย ถึงนางจะไม่กำชับ เขาก็ไม่มีทางพูดอะไรออกไปแน่

เสี่ยวเฟิงเพิ่งกินเสร็จ อาอู่กับจ้าวหลานก็เข็นรถเข็นล้อเดียวกลับมาแล้ว

อาอู่ยกถังไม้อันหนักอึ้งเข้ามาในเรือน ขณะเดินไปที่หลังครัวก็พูดว่า “นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายแล้ว อีกเดี๋ยวคนงานจะมาเชิญเจ้าไปตรวจรับบ้าน เสร็จเรื่องแล้วก็จะคิดบัญชี หากไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาจะไปจากที่นี่ก่อนเที่ยงวัน”

เขาวางถังไม้ไว้ที่หลังครัว เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ถึงจะพบว่าในเรือนมีเด็กหนุ่มแปลกหน้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน “เอ๋? นี่ลูกใครกัน ไยมากินข้าวที่บ้านของพวกเราเล่า”

ไป๋จื่อกล่าวกับเสี่ยวเฟิงว่า “เสี่ยวเฟิง นี่คือโจวอาอู่ ช่างบังเอิญนัก เขาก็แซ่โจวเช่นเดียวกัน รีบเรียกเขาว่าพี่อู่สิ”

เสี่ยวเฟิงรีบเรียกอีกฝ่ายว่าอาอู่อย่างว่าง่าย

โจวอาอู่สงสัย “เขาเป็นคนในหมู่บ้านของพวกเราหรือ ไฉนข้าไม่เคยพบมาก่อน” แม้เขาจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานเท่าไร ทว่าตอนนี้เขาก็เห็นหมู่บ้านหวงถัวแห่งนี้ไม่ต่างจากบ้านของตนเองแล้ว ทั้งยังเห็นสกุลหูเป็นเหมือนครอบครัวของตนเองอีกต่างหาก เวลาพูดจาจึงมักจะใช้คำว่าพวกเราอยู่เสมอ

ไป๋จื่อเข้าไปใกล้อาอู่ นางพูดเสียงเบาอยู่สองสามประโยค สีหน้าของอาอู่เปลี่ยนไปทันควัน ทั้งประหลาดใจ ทั้งดีใจ

“อย่าตื่นตูม ใจเย็นไว้!”

อาอู่รู้ว่าตอนนี้ควรจะใจเย็นๆ สักหน่อย ทว่าเขาจะใจเย็นอยู่ได้อย่างไร เสี่ยวเฟิงเป็นบุตรชายของโจวกัง และโจวกังเป็นญาติผู้พี่ของเขาเชียวนะ!

นอกจากนี้ ฟู่เจิงยังมีชีวิตอยู่ สามปีมานี้เขารู้สึกผิดต่อฟู่เจิงอยู่เสมอ เพราะไม่อาจอยู่ต่อสู้กับศัตรูร่วมกับฟู่เจิงได้ เขาคิดว่าฟู่เจิงตายไปแล้ว คิดว่าชีวิตที่เหลือนี้จะไม่มีวันได้ชดเชยความเสียใจเหล่านี้ได้อีก

โจวกังเป็นญาติผู้พี่ของเขา โจวเสี่ยวเฟิงจึงนับเป็นหลานชายของเขา ความรู้สึกตื้นตันเพราะได้พบกับญาติสนิทเช่นนี้ เขาจะกดข่มมันไว้ได้อย่างไร เขาจะใจเย็นอยู่ได้อย่างไรกัน

……….

ตอนที่ 418 สายเลือดของสกุลโจว

มือของอาอู่สั่นเทาเล็กน้อย เขาก้าวเข้าไปหาเสี่ยวเฟิง ก่อนจะจับเด็กชายให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วจับมือเล็กๆ นั้นไว้ หลังจากพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ เด็กคนนี้ผ่ายผอมถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

ครั้งก่อนที่พบกัน ตอนนี้เสี่ยวเฟิงยังเป็นเด็กจ้ำม่ำอยู่เลย ไม่พบเจอกันหลายปีก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ต้องโทษเขา ต้องโทษที่อาอย่างเขาไร้น้ำยา ไม่สามารถรับครอบครัวของเสี่ยวเฟิงไปด้วยได้ ทำให้เด็กชายตกมาอยู่ในสภาพนี้

เสี่ยวเฟิงจำไม่ได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอาของตนเอง เขาเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้แปลกๆ อยู่บ้าง พบกันครั้งแรกเท่านั้น ไฉนต้องจับมือเขาแล้วร้องไห้ด้วย พวกเราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย!

ไป๋จื่อกล่าว “เสี่ยวเฟิง เขาคืออาของเจ้า โจวอาอู่ เจ้าจำเขาไม่ได้หรือ”

เขาจำชื่อของโจวอาอู่ได้ เพียงแต่จำหน้าตาของเจ้าของชื่อไม่ได้ ที่แท้คนตรงหน้าก็คือโจวอาอู่นี่เอง ญาติที่เคยร่วมตกระกำลำบากกับบิดาของเขา ยามที่อยู่ในค่ายทหารด้วยกัน

แต่เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า เขาควรจะถูกจองจำอยู่ในค่ายทหาร เช่นเดียวกับพ่อของเขาไม่ใช่หรือ

ไป๋จื่อเห็นว่าเสี่ยวเฟิงมีสีหน้าฉงน ทว่าอาอู่กลับพูดอะไรไม่เพราะออกเพราะความตื้นตัน นางจึงรีบเข้ามาอธิบายว่า “โชคดีที่เมื่อสามปีก่อนพี่อู่หนีออกมาได้ ตอนนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านหวงถัวกับครอบครัวของเขา พวกเจ้าอาหลานได้พบกันได้ ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ”

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เสี่ยวเฟิงพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้พบญาติของตนเองที่นี่ด้วย เมื่อครู่เขารู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แม้จิ้นอ๋องจะให้เขามาที่นี่ แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็มีแต่คนที่ตนไม่คุ้นเคย จึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่หากมีอาของตนเองอยู่ด้วยเช่นนี้ สถานการณ์ย่อมแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

อาอู่ดึงเสี่ยวเฟิงมากอดไว้ในอก คว้าเสื้อผ้าของเด็กชายไว้แน่น “เสี่ยวเฟิงเอ๋ย ลำบากเจ้าแล้ว ลำบากเจ้าจริงๆ…เจ้าวางใจเถอะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาจะไม่ให้เจ้าได้รับความอดสูอีกแม้สักนิดเดียว ไม่มีทางเด็ดขาด”

เสี่ยวเฟิงเองก็น้ำตาคลอ ก้มหน้าลงพยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นอา

ไป๋จื่อแยกทั้งสองคนออกจากกัน ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอาล่ะ ดูท่านทำเข้าสิ เขาร้องไห้หมดแล้ว”

อาอู่รีบเช็ดน้ำตา ยิ้มพลางพูดว่า “จริงด้วย ข้าไม่ดีเอง เสี่ยวเฟิงไม่ต้องร้องไห้นะ พวกเราไม่ต้องร้องไห้แล้ว”

เด็กสาวพูดกับอาอู่ “พี่อู่ ท่านไปเรียกพี่สะใภ้กับหรูเอ๋อร์เข้ามาที พวกเราทุกคนไปรับบ้านด้วยกัน คนยิ่งเยอะยิ่งดี หากมีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขได้เร็วหน่อย เพราะขืนพวกนายช่างไปกันแล้ว แต่พวกเราเพิ่งพบปัญหา เช่นนั้นไม่เท่ากับสายไปแล้วหรือ”

“เมื่อจัดการธุระเสร็จพวกเราก็เข้าไปในเมืองกัน วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ เสี่ยวเฟิงก็ไปด้วยกัน พวกเราจะได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เขาอย่างดี จากนั้นก็ซื้อเสื้อผ้าให้เจ้าอีกสักสองสามชุด แล้วก็ต้องไปดูด้วยว่าเครื่องเรือนที่พวกเราสั่งทำไว้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

อาอู่พยักหน้ารับ กล่าวกับเสี่ยวเฟิงว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่นะ ข้าจะไปเรียนน้าสะใภ้ของเจ้าเข้ามา ยังมีหรูเอ๋อร์ด้วย พวกเจ้ายังไม่เคยพบกันเลยสินะ”

จ้าวหลานยกกะมะลังน้ำเข้ามา นางบิดผ้าชุบน้ำส่งให้เสี่ยวเฟิง “เจ้ารีบเช็ดหน้าเร็วเข้า ดูสิมีแต่คราบน้ำตา”

หูจ่างหลินหยิบขนมที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากในห้อง ก่อนจะวางลงตรงหน้าเสี่ยวเฟิง “รีบเช็ดหน้า ล้างมือเสียสิ กินขนมกุ้ยฮัว[1]สักชิ้นนะ อร่อยอย่าบอกใครเชียว”

ความเอาใจใส่ของทุกคนทำให้เสี่ยวเฟิงรู้สึกอบอุ่นหัวใจนัก เขาไม่เคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว บัดนี้เขาจึงรู้สึกดีอย่างยิ่งยวด

เพิ่งกินขนมไปได้สองคำ อาอู่ก็พาจ้าวซู่เอ๋อและหรูเอ๋อร์เข้ามาอย่างเร็วรี่

“ซู่เอ๋อ หรูเอ๋อร์ มานี่เร็ว นี่คือเสี่ยวเฟิงล่ะ พวกเรามีสายเลือดของสกุลโจวเช่นเดียวกัน!”

ซู่เอ๋อพาหรูเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า “หรูเอ๋อร์ รีบเรียกว่าพี่ชายเร็ว”

หรูเอ๋อร์ยืนอยู่เบื้องหน้าเสี่ยวเฟิงอย่างว่าง่าย เงยดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มมองเด็กชายที่ไม่คุ้นหน้า แล้วเรียกเขาว่าพี่ชายด้วยความขลาดกลัวเล็กน้อย

[1] ขนมกุ้ยฮัว (桂花糕) เป็นขนมชนิดหนึ่งที่มีหลายรูปลักษณ์ ทั้งเหมือนขนมโก๋ และบางที่ก็เหมือนวุ้นด้วยเช่นกัน มีรสสัมผัสหนึบๆ โดยส่วนผสมหลักคือน้ำตาลและแป้งข้าวเหนียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา