คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 437

สรุปบท ตอนที่ 437 ฟังเจ้าหนึ่งประโยค เหมือนได้อ่านตำราสิบเล่ม / ตอนที่ 438 ควันโหม: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 437 ฟังเจ้าหนึ่งประโยค เหมือนได้อ่านตำราสิบเล่ม / ตอนที่ 438 ควันโหม – คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา โดย Internet

บท ตอนที่ 437 ฟังเจ้าหนึ่งประโยค เหมือนได้อ่านตำราสิบเล่ม / ตอนที่ 438 ควันโหม ของ คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา ในหมวดนิยายนางเอกเก่ง เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 437 ฟังเจ้าหนึ่งประโยค เหมือนได้อ่านตำราสิบเล่ม

ลู่ผิงอันย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่การสอบในครั้งนี้ล้มเหลว เขาก็ตั้งอกตั้งใจทบทวนบทเรียนทุกวัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเกียจคร้าน ด้วยอยากหาโอกาสพิสูจน์ตนเองอยู่ตลอด

อาจารย์สวี่มองโจวเสี่ยวเฟิงครั้งหนึ่ง ก่อนจะเกิดความคิดหนึ่งในทันที เขาออกโจทย์ให้ลู่ผิงอันเช่นเดียวกับที่ให้โจวเสี่ยวเฟิง เพราะเขาอยากรู้คำตอบของทั้งสองคน ทั้งยังได้รู้ระดับการสอนหนังสือในฐานะอาจารย์ของตนเองด้วย อย่างไรเสียลู่ผิงอันก็ถือเป็นคนที่เพียรพยายามและมีอนาคตมากที่สุดในบรรดานักเรียนของเขาแล้ว

ไป๋จื่อนั่งจับผมเล่นอยู่ข้างๆ ด้วยความเบื่อหน่าย อาจารย์สวี่จึงถามนางขึ้นมา “เจ้ารู้หนังสือหรือไม่”

“รู้อยู่บ้างเจ้าค่ะ” ไป๋จื่อพยักหน้า

“เช่นนั้นเจ้าอยากทำโจทย์ด้วยหรือไม่” อาจารย์สวี่ถามพร้อมรอยยิ้ม

ไป๋จื่อคิดดูแล้ว ไหนๆ ตอนนี้นางก็ว่างอยู่ ลองทำดูก็ไม่เสียหาย หากทำไม่ได้ก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะนาง จึงพยักหน้ารับ “ตกลงเจ้าค่ะ แต่ลายมือของข้าน่าเกลียดนัก ถึงตอนนั้นแล้วท่านอย่าหัวเราะข้านะเจ้าคะ”

อาจารย์สวี่เขียนโจทย์อย่างรวดเร็ว เป็นโจทย์เดียวกับเด็กหนุ่มทั้งสองคน

ผู้ดีห่วงวางตัว ไม่ห่วงยากจน!

บนกระดาษสีเหลืองอ่อนปรากฏตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างสละสลวย

ไป๋จื่อชะงักไปเล็กน้อย เขาให้นางเขียนเรียงความหรือนี่ เขาต้องการให้นางอธิบายความหมายของประโยคนี้ หรือให้นางอธิบายความคิดเห็นของนางที่มีต่อประโยคนี้กันแน่

หลังจากคิดวิเคราะห์อยู่สักพัก นางรู้สึกว่าน่าจะเป็นการอธิบายความคิดเห็นเสียมากกว่า อย่างไรเสียความหมายของประโยคนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้ลึกซึ้งมากเท่าไร ไม่จำเป็นต้องอธิบายความหมายอะไร

นางหยิบพู่กันที่เล็กที่สุดขึ้นมา ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงไปสองตัว เหลวไหล!

‘การที่ผู้ดีห่วงวางตัว ไม่ห่วงยากจนได้นั้น อันดับแรกผู้ดีจำเป็นต้องเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ในบ้านมีเงินมากพอให้เรียนหนังสือ มีทรัพยากรมากพอจนทำให้กลายเป็นผู้ดีได้ ไม่เช่นนั้น คนที่แม้แต่ข้าวยังกินให้อิ่มไม่ได้ จะไปคิดเช่นเดียวกับผู้ดีได้อย่างไรกัน หากไม่คำนึงถึงความยากจน เช่นนั้นแล้วต้องทนหิวตายหรือไร นั่นเท่ากับเป็นผู้ดีจอมปลอมอย่างแท้จริง

เฝ้ารักษาคุณงามความดีในยามยาก ครั้นบรรลุความสำเร็จค่อยแจกจ่ายให้ใต้หล้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นคติของผู้ดีที่แท้จริง

แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีที่ไม่ห่วงยากจน หรือผู้ดีที่เฝ้ารักษาคุณงามความดี ความต้องการสูงสุดก็คือทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ดีเสียก่อน

มีเพียงเป็นผู้ดีได้สำเร็จ ถึงจะมีสิทธิ์พูดเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นได้’

ครั้นไป๋จื่อเขียนเสร็จ โจวเสี่ยวเฟิงกับลู่ผิงอันก็ม้วนกระดาษแล้ว ทั้งสองคนยืนอ่านตัวอักษรที่นางเขียนลงบนกระดาษอยู่ข้างหลัง สีหน้าซับซ้อนทีเดียว

ไป๋จื่อหันกลับไปหลังจากม้วนกระดาษแล้ว นางถามทั้งสองคนว่า “ไยพวกเจ้ามีสีหน้าเช่นนั้น”

“หากข้าไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเจ้า ข้าไม่ทางเชื่อแน่ว่าเจ้าไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน” ลู่ผิงอันกล่าว

“ก่อนหน้านี้ข้าไปส่งข้าวให้ไป๋เสี่ยวเฟิงอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ ทั้งยังเคยมาที่สำนักศึกษาอยู่หลายหน ข้าจึงมักจะแอบฟังอาจารย์สวี่สอนหนังสืออยู่ข้างนอกเสมอ ความจริงก็ไม่นับว่าเคยเรียนหนังสือหรอก เพียงแค่ครูพักลักจำเท่านั้นเอง” ไป๋จื่อยิ้มจางๆ

แม้โจวเสี่ยวเฟิงจะได้ยินวาจาของนางชัดเจน แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าคร่ำเคร่งมาก “ความคิดเห็นของเจ้ายอดเยี่ยมมาก บางคนอาจจะคิดว่าไม่มีมารยาทเท่าไร แต่ข้าว่าเจ้าพูดถูก ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีที่ไม่ห่วงยากจน หรือผู้ดีที่เฝ้ารักษาคุณงามความดี อันดับแรกต้องเป็นผู้ดีให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ขี้หมูราขี้แห้งแห้งทั่วไป ส่วนผู้ดีก็แบ่งออกเป็นผู้ดีที่แท้จริงกับผู้ดีจอมปลอม ไม่ใช่พูดหลักการได้ก็นับว่าเป็นผู้ดี”

เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วประสานมือคารวะไป๋จื่อครั้งหนึ่ง “ฟังเจ้าหนึ่งประโยค เหมือนได้อ่านตำราสิบเล่ม!”

ท่าทีของเขาทำให้ไป๋จื่อมึนงง นางก็แค่เขียนความเห็นของตนเองออกมาเท่านั้น ถึงกับทำให้คนซูฮกเลยหรือนี่ โชคกำลังเข้าข้างนางหรืออย่างไรกัน

อาจารย์สวี่อ่านม้วนคำตอบของทั้งสามคน ก่อนจะตกอยู่ในภสังความคิดอยู่เนิ่นนาน แต่ละคนต่างก็มีมุมมองเป็นของตนเอง แม้มุมมองของไป๋จื่อจะดูแปลกแยกไปบ้าง แต่ตามหลักการแล้วถือว่าถูกต้อง ส่วนคำตอบของเสี่ยวเฟิงงดงามมาก มีการอ้างอิงตำราอยู่หลายจุด ทำให้มองออกอย่างชัดเจนว่าเขาอยากเรียนหนังสือ ทั้งยังเรียนได้ไม่เลวอีกด้วย

ในกองเสบียงพลันตกอยู่ในความเงียบงัน บรรยากาศเย็นเยียนถึงจุดเยือกแข็ง ไม่มีใครอยากไปสนามรบ ไม่มีใครอยากส่งตัวเองไปตาย

เวลานี้ชายหนุ่มก็โบกมือขึ้นมา “ไม่หรอกๆ ถ้าพวกเราไปแล้ว ใครจะทำอาหารให้ทุกคนกินเล่า ข้าไปสอบถามมาแล้ว เหล่าแม่ทัพปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ว่าจะส่งกองทหารม้าหุ้มเกราะและกองทหารเกราะดำไปประจันหน้า และข้าได้ยินมาอีกว่า กองทหารสองกองนี้สร้างคุณงามความดีมากที่สุดเมื่อจิ้นอ๋องบัญชาการ นายทหารในกองล้วนแล้วแต่องอาจกล้าหาญ มีพวกเขาต่อสู้กับแคว้นซีเยี่ย โอกาสชนะก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น”

บุรุษอ้วนเตี้ยที่อยู่อีกด้านโบกมือโดยพลัน ทั้งยังส่ายหน้าอีกด้วย “นั่นมันในอดีต ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตั้งแต่จิ้นอ๋องหายตัวไป แม่ทัพทั้งหลายของกองทหารม้าหุ้มเกราะและกองทหารเกราะดำล้วนถูกจับไปรับโทษ นายทหารของทั้งสองกองเป็นฝูงมังกรไร้ผู้นำ บัดนี้ยิ่งเหมือนมังกรมัวเมาในนิทรา ไม่มีความกล้าหาญฮึกเหิมเช่นก่อนหน้านี้แล้ว”

หูเฟิงเงยหน้าขึ้นมองบุรุษรูปร่างอวบอ้วน เขาดูไม่เหมือนคนในกองเสบียงเท่าไร ไม่คุ้นหน้าอย่างยิ่ง

“เจ้าเป็นใครกัน ไยถึงรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วย” จูซื่อถาม

บุรุษอ้วนเตี้ยถอนใจเสียงหนึ่ง “ข้าเป็นนายทหารในกองทหารเกราะดำ มารับอาหารที่นี่ ไม่มีใครรู้เรื่องในกองทหารเกราะดำดีกว่าข้าแล้ว”

“ในเมื่อกองทหารม้าหุ้มเกราะและกองทหารเกราะดำกลายเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดแม่ทัพหูยังจะส่งพวกเจ้าไปสนามรบ” หูเฟิงถามบุรุษผู้นั้น

อีกฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น “ยังต้องถามอีกหรือ แผนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวอย่างไรเล่า!”

หูเฟิงมุ่นคิ้ว สีหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าอีกา สองมือที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวกำเป็นหมัดแน่น

“ข้าไม่เข้าใจ แผนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวที่เจ้าว่า แท้จริงแล้วหมายความว่าอย่างไรกันแน่” จูซื่อถาม

บุรุษผู้นั้นโบกมืออีกครั้ง “ช่างเถอะๆ ข้าไม่พูดก็สิ้นเรื่อง เพราะเรื่องบางเรื่องพวกเจ้ารู้น้อยๆ ไว้ย่อมดีกว่า นำอาหารมาให้ข้าเถอะ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้จูซื่อยิ่งอยากรู้อยากเห็น เขาจึงก้าวเข้าไปดึงบุรุษอ้วนเตี้ยมาที่ข้างกายตนและหูเฟิง “เล่าให้พวกข้าฟังหน่อยสิ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา