ตอนที่ 579 หากที่หายไปเป็นบุตรสาวจะทำอย่างไร
หลิวซื่อเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว “โอ้ เจ้าหมายความว่า ใช้บุตรชายของพวกเราไปแสดงตัว ทำเช่นนี้แล้ว ครอบครัวของพวกเราก็จะรุ่งโรจน์แล้วใช่หรือไม่”
เจ้าใหญ่ตบเข่าฉาด ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถูกต้อง ข้าหมายความตามนั้น”
ในดวงตาของหลิวซื่อพลันทอประกาย “เช่นนั้นก็หมายความว่าเสี่ยวเฟิงก็จะได้เรียนหนังสือต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะได้ขยับฐานะเป็นคุณชายอันสูงศักดิ์ด้วย ต่อไปย่อมได้ใช้ชีวิตเหนือคนธรรมดา ยามข้าออกจากบ้านก็จะมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ ได้กินรังนกทุกวัน มีคนคุกเข่าเรียกข้าว่าฮูหยินทุกวันใช่หรือไม่”
เจ้าใหญ่ยิ้มไม่หุบ “แล้วก็ต้องเรียกข้าว่านายท่านด้วย เมื่อพวกเรามีเงินแล้ว อยากกินอะไรก็จะได้กินสิ่งนั้น อยากทำอะไรก็จะได้ทำสิ่งนั้น ข้ายังอยากแต่งอนุอีกสักคนด้วย แล้ว…” ครั้นเห็นสีหน้าของหลิวซื่อเปลี่ยนไป เขาก็หยุดปากในทันที ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนว่า “ข้าพูดเล่น มีเจ้าก็พอแล้ว”
หลิวซื่อแค่นหัวเราะเสียงเย็น นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “แล้วถ้าหากที่หายไปเป็นบุตรสาวจะทำอย่างไร”
“หากทำบุตรสาวหาย สกุลไป๋ของพวกเราก็ยังมีไป๋เจินจูอยู่ไม่ใช่หรือ” เจ้าใหญ่ตอบ
“แต่นางไม่ใช่บุตรสาวของพวกเรา ถึงแม้นางจะมีสายเลือดเดียวกับคนเหล่านั้น แล้วยังจะสนใจพวกเราอีกหรือไร”
เจ้าใหญ่ยิ้ม “เจ้าวางใจเถอะ นางจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าลองคิดดูสิ พวกเรารู้เบื้องลึกเบื้องหลังของนางทั้งหมด หากนางอยากมีชีวิตที่ดี ก็ต้องกตัญญูรู้คุณกับพวกเราเช่นเดียวกับพ่อแม่แท้ๆ ของนางด้วย”
ทั้งสองคนหมกมุ่นอยู่กับแผนการชั่ว โดยที่ไม่รู้เลยว่าทุกคำพูดของพวกเขา ดังเข้าหูของไป๋เจินจูที่อยู่ข้างนอกเรือนทั้งสิ้น
ไป๋เจินจูได้ฟังดังนั้นก็ใจเต้นแรง อีกทั้งรู้สึกตื่นเต้นอยู่ลึกๆ แม้กระทั่งคาดหวังและภาวนาให้บ้านที่ทำลูกหายไปบ้านนั้น ทำบุตรสาวหายไปด้วยเถอะ
ขณะที่นางกำลังจะหมุนกายจากไป ก็ได้ยินหลิวซื่อที่อยู่ในเรือนกล่าวว่า “แต่เจินจูและจางซูเหมยหน้าตาคล้ายกันมาก พวกนางยืนอยู่ข้างกันแล้ว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกกัน หากบอกว่านางเป็นลูกของคนอื่น แล้วใครเล่าจะเชื่อ” ไป๋เจินจูรู้สึกหมดหวังในทันที นางเดินไปถึงลานด้านหลังด้วยความห่อเหี่ยว สุดท้ายนางก็มองใบหน้าธรรมดา ดำคล้ำ ไปจนถึงเครื่องหน้าที่คล้ายกับผู้เป็นมารดาอย่างยิ่งผ่านภาพสะท้อนในกะละมังน้ำ
น้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ตกหระทบผิวน้ำที่เดิมทีสงบนิ่ง ก่อให้เกิดคลื่นน้ำเป็นระลอกจนใบหน้าของนางบิดเบี้ยว…
…
เป็นเช่นที่เจ้าใหญ่คาดการณ์ไว้ หลังจากนั้นสองวันก็มีคนมาที่บ้านจริงๆ เขารู้สึกดีใจมาก วันนี้บ้านใหญ่อยู่กันพร้อมหน้า ส่วนบ้านรองนั้น นอกจากไป๋เจินจูแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไปซื้อของใช้ในเทศกาลตรุษจีนในเมือง อีกหลายชั่วยามถึงจะกลับมา
คนผู้หนึ่งลงจากในรถม้าคันหรู เขาสวมใส่ชุดผ้าไหมปักลายไม้ไผ่สีเขียวเข้ม ด้านนอกสวมทับด้วยชุดคลุมทำจากขนจิ้งจอก น่าเกรงขามยิ่ง เขาดูแล้วอายุอย่างมากสามสิบห้าปี เครื่องหน้าชัดเจนงดงาม ครั้นเห็นใบหน้านี้แล้ว คนสกุลไป๋ทั้งหมดก็พลันเกิดความรู้สึกคุ้นตากันอย่างพร้อมเพรียง คล้ายกับว่าเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหนมาก่อน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“นี่นี่คือบ้านของเจ้าใหญ่และเจ้ารองไป๋ใช่หรือไม่” เผยชิงหานถาม
เจ้าใหญ่ไป๋รีบเข้าไปต้อนรับ ความเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเข้มข้นไม่แปรเปลี่ยน
“ใช่ๆๆ ข้าก็คือเจ้าใหญ่ไป๋ขอรับ”
คนที่มีกลิ่นอายของบ่าวไพร่ตั้งแต่กำเนิดเช่นนี้ ชีวิตนี้ของเผยชิงหานเคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไหนแต่ไรจึงล้วนไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา เขาเหล่ตามองอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
เจ้าใหญ่ไป๋นำเผยชิงหานเข้าไปในเรือนทันที ในบ้านไม่มีชุดน้ำชางดงามอะไร จึงใช้ถ้วยสำหรับกินข้าวมาเทน้ำร้อนให้เขา
“บ้านของข้ายากจน ไม่มีชาดี ขอท่านผู้สูงศักดิ์อย่าได้ถือสา!”
เด็กที่หายไปเมื่อสิบสามปีก่อนนั้น ตอนหายไปอายุยังไม่ถึงขวบปี นั่นหมายความว่าตอนนี้เด็กหญิงคนนั้นเพิ่งอายุสิบสามปีเต็มหรือ เจ้าใหญ่ หลิวซื่อ แม้กระทั่งหญิงชราต่างก็นึกถึงคนคนเดียวกันในโดยพลัน
ไป๋จื่อ นางเด็กน่าตายผู้นั้น นางแทบจะตรงกับทุกเงื่อนไขที่กล่าวมา แม้กระทั่งหน้าตาของนาง สวรรค์ แม้กระทั่งหน้าตาของนางก็คล้ายกับผู้มาเยือนตรงหน้านี้อยู่หลายส่วน มิน่าเล่าเพิ่งพบกันครั้งแรก พวกเขาก็รู้สึกว่าเขาคล้ายกับใครบางคนเป็นอย่างยิ่ง
นั่นหมายความว่า ไป๋จื่อเป็นเด็กที่หายไปของสกุลเผยหรือ
ไป๋เจินจูที่หลบอยู่ด้านหลังได้ยินทุกอย่างชัดเจน นางไม่ใช่คนโง่ ย่อมนึกถึงไป๋จื่อเช่นเดียวกัน
ไม่มีทาง ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เหตุใดไป๋จื่อถึงได้มีผิวพรรณดี ฉลาดเฉลียว แม้กระทั่งมีฐานะดีเช่นนี้ ส่วนนางไป๋เจินจูกลับสู้ไม่ได้เลยสักอย่าง
ขณะที่เจ้าใหญ่กำลังจะเอ่ยปาก ไป๋เจินจูก็ปรี่ออกมา นางตะโกนใส่เจ้าใหญ่ว่า “ท่านพ่อ มีแขกมาที่บ้านหรือ”
เจ้าใหญ่ชะงักงัน “ท่านพ่อ? เด็กคนนี้ไยเรียกข้าว่าพ่อ เจ้าจำพ่อแท้ๆ ของตนเองไม่ได้แล้วรึ” ทว่าเขาเห็นสีหน้าของไป๋เจินจู เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอนของนาง เขาพลันเข้าใจในทันที รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน เขายิ้มว่า “เจินจู ไยเจ้าถึงออกมา ข้าบอกให้เจ้าพักผ่อนอยู่ในห้องไม่ใช่หรือ”
เผยชิงหานมองไปยังไป๋เจินจู พร้อมทั้งพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะถามว่า “เป็นนางหรือ”
เจ้าใหญ่รีบกล่าวทันควัน “นางคือเด็กที่พวกข้าเก็บมาได้จากในป่าเมื่อสิบสามปีก่อน ตอนนั้นบนตัวของนางแขวนพู่หยกชิ้นนี้เอาไว้ด้วย พวกข้าเก็บนางกลับมาที่บ้าน อีกทั้งสอบถามจนทั่วว่าบ้านใดทำเด็กหายบ้าง ทว่าก็ไม่เคยได้ข่าวคราวอะไร นางทั้งน่ารักน่าเอ็นดู พวกข้าสองสามีภรรยาไม่มีบุตรสาวพอดี จึงเลี้ยงนางไว้ คิดอยู่เสมอว่าต้องมีสักวันที่พ่อแม่แท้ๆ ของนางจะพบนาง รวมถึงช่วยนางเก็บพู่หยกชิ้นนี้มาโดยตลอด ทว่าก่อนหน้านี้ที่บ้านของพวกข้าขัดสนจริงๆ หมดหนทางทำมาหากิน ถึงได้นำพู่หยกชิ้นนี้ไปจำนำ ด้วยหวังว่าจะนำเงินมาใช้ให้พอผ่านฤดูหนาวครั้งนี้ไปได้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกข้าจะปลูกพืชผักให้มากหน่อย จะได้ไถ่ของคืนมาให้นาง”
วันนี้หญิงชราและหลิวซื่อต้องมองเจ้าใหญ่ใหม่แล้วจริงๆ วาจาของเขานี้ ช่างไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
แอดรบกวนลงให้อ่านจนจบได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
สนุกมากค่ะ แอดรบกวนอัปให้อ่านจนจบได้ไหมคะรออ่านอยู่น้าาาาา...
อัพเดทตอนใหม่เมื่อไรค่ะ...
คุณแอดมินผู้ใจดี ช่วยอัพเดทตอนใหม่เยอะๆเลยนะคะ ชอบมาก สนุก พลีสสสสส...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
เอาใจช่วยหูเฟิงทวงคทนอำนาจนะ...
ถ้าพ่อไม่ถูกเมียรังแกจนเกือบตายก็คงไม่ตื่นสินะ...
ดีใจกับเสี่ยวเฟิง...