ตั้งแต่ที่เจนนี่เล่าให้เธอฟังเรื่องเหตุการณ์ลักพาตัวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน วิเวียนก็อยากที่จะถามฟินนิคถึงเรื่องนั้นมาโดยตลอด
แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวและเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างสะเทือนใจ วิเวียนจึงไม่เคยถามฟินนิคออกไปเลยสักครั้ง
เธอไม่ได้คาดหวังให้เขาเล่าเรื่องในอดีตของเขาให้เธอฟังด้วยตัวเอง แต่แบบนี้มันหมายความว่าเขายอมเปิดใจให้เธอแล้วใช่ไหม
ฟินนิคจับมือของวิเวียนและสอดประสานนิ้วของเขาเข้ากับของเธอในขณะที่ยืนมองป้ายหลุมศพ เขากระพริบตาแล้วเอ่ยถาม “ผมคิดว่าคุณรู้ว่าเธอคือใครใช่ไหม”
วิเวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบไป “ค่ะ ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาบ้างนิดหน่อย”
“งั้นคุณก็คงเคยได้ยินเรื่องเหตุการณ์ลักพาตัวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนสินะ” ฟินนิคเอ่ยต่ออย่างเฉยเมย “โดยเฉพาะเรื่องที่ผมทิ้งเธอเอาไว้เพื่อช่วยชีวิตตัวเอง”
วิเวียนรู้สึกประหม่าและพูดอะไรไม่ออก
ในทางกลับกัน ฟินนิคกลับดูสงบและมีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในขณะที่พูด “คุณไม่ต้องรู้สึกประหม่าไปหรอก คุณพูดกับผมตรง ๆ ได้เลย”
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดวิเวียนก็เอ่ยออกมา “มีคนเคยเล่าให้ฉันฟังมาก่อน แต่ฉันไม่เชื่อ”
แววตาของฟินนิคเข้มขึ้นในขณะที่เขาเอ่ยตอบกลับไป “ทำไมล่ะ”
“ฉันไม่คิดว่าคุณเป็นคนประเภทที่จะทิ้งใครซักคนไปแบบนั้น แล้วยิ่งตอนนั้นเธอเป็นแฟนของคุณด้วย” วิเวียนเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น เธอหันไปมองฟินนิคแล้วเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “ฉันพูดถูกไหมคะ”
ฟินนิคไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที เขามองไปที่ป้ายหลุมศพและเอ่ยพึมพำกับตัวเองแทน “ผมจะไม่ทิ้งใครเลยจริง ๆ น่ะเหรอ ขนาดตัวผมเองยังไม่แน่ใจเลย…”
วิเวียนรู้สึกตกใจ
ไม่แน่ใจเหรอ
เขาหมายความว่ายังไงกันที่ว่าไม่แน่ใจ
ฟินนิคเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อ “อีฟเวลินกับผมรักกันมาตั้งแต่เด็ก ตระกูลของผมกับตระกูลมอร์ริสันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลายชั่วอายุคน”
วิเวียนประหลาดใจ
อีฟเวลินเป็นคนของตระกูลมอร์ริสันเหรอ
ตระกูลมอร์ริสัน ตระกูลแจ็คสัน และตระกูลนอร์ตัน เป็นสามตระกูลที่สำคัญของเมือง S และพวกเขามีชื่อเสียงกันมาอย่างยาวนาน
งั้นอีฟเวลินก็เป็นทายาทสินะ
วิเวียนยิ้มแหย ๆ ในขณะที่เธอนึกถึงสถานะของตัวเอง
เธอดูต่ำต้อยไปเลยเมื่อเทียบกับอีฟเวลิน
วิเวียนกดความรู้สึกของเธอเอาไว้แล้วเอ่ยถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อเหรอคะ”
“ผมคิดว่าเมื่อถึงเวลา พวกเราก็จะแต่งงานกันเหมือนคู่รักทั่ว ๆ ไป แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเราจะถูกลักพาตัวไปเมื่อสิบปีก่อน” ฟินนิคเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มตามปกติ
วิเวียนรู้เรื่องนี้แล้วจากคำบอกเล่าของเจนนี่ ที่เธออยากรู้คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัว
“พวกมันขังเราเอาไว้ในโกดังและไม่ยอมปล่อยเราไปถึงแม้ว่าจะได้ค่าไถ่แล้วก็ตาม แต่พวกมันกลับวางยาเราแล้วจุดไฟเผาโกดัง” ฟินนิคเอ่ยอย่างใจเย็น แต่วิเวียนกลับรู้สึกได้ถึงความโกรธในน้ำเสียงของเขา
“ถูกวางยาเหรอ” วิเวียนเอ่ยถามอย่างตกใจเพราะเจนนี่ไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้ “พวกคนที่ลักพาตัวคุณไปอยากฆ่าคุณเพราะว่าคุณเห็นหน้าพวกเขาแล้วหรือเปล่า”
“ไม่ใช่” ฟินนิคเอ่ยตอบพลางขมวดคิ้ว “พวกนั้นใส่หน้ากากและถุงมือตลอดเวลา พวกมันไม่ยอมทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลย”
วิเวียนนิ่งอึ้งไปกับคำตอบของเขา
ตอนแรกเธอคิดว่าฟินนิคและอีฟเวลินเห็นหน้าคนร้าย พวกนั้นเลยจะฆ่าพวกเขาเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้
แต่เมื่อเธอได้รู้เรื่องราวจากฟินนิค เธอกลับรู้สึกว่าคนร้ายไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องฆ่าพวกเขาเลย
ถึงแม้ว่าการลักพาตัวและการฆาตกรรมจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่มันก็เป็นระดับที่แตกต่างกันมาก ถ้าคนร้ายทำไปเพราะอยากได้ค่าไถ่ ทำไมพวกเขาไม่ออกนอกประเทศไปทันทีที่ได้เงิน ทำไมพวกเขาต้องพยายามฆ่าฟินนิคและอีฟเวลินด้วย
“แล้วทำไมพวกมันต้องพยายามฆ่าพวกคุณด้วย” วิเวียนเอ่ยถามออกไปอย่างห้ามความสงสัยไม่อยู่
แววตาของฟินนิควาวขึ้นราวกับว่าเขารู้เหตุผลของมัน ฟินนิคไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขาเพียงแต่เล่าต่อจากที่เขาเล่าค้างเอาไว้ “ผมสลบไปทันทีหลังจากที่ถูกวางยาแต่ก็ตื่นขึ้นมาเพราะว่ากลิ่นควัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ความรักสีคราม