เห็นเพียงว่ากลุ่มเด็กๆ ที่เดินทางมาไกลจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน หีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กสามใบเด่นชัดสะดุดตามากเป็นพิเศษ แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนั้นโดดเด่นที่สุด ท่าทางของนางร้อนรนอย่างมาก ส่วนเด็กชายที่ตัวเล็กที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแปลกที่แปลกถิ่น กลัวการต้อนรับที่เอิกเกริกของฮ่องเต้ต้าสุยหรือไม่ถึงได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ฮ่องเต้ต้าหลีไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้ารำคาญใจ ยังหันหน้ากลับมาคุยเล่นกับเจ้ากรมพิธีการผู้มีเส้นผมขาวโพลนอย่างสบายใจด้วย
ถึงท้ายที่สุด เด็กนักเรียนที่เดินทางรอนแรมไกลเป็นพันลี้เพื่อมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยก็หันไปมองสุดปลายทางถนนอย่างพร้อมเพรียง ไม่ยินยอมกระตือรือร้นมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้าสุย
แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ต้าสุยไม่รีบร้อนไม่เร่งรัด ทว่ามัวถ่วงเวลาอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ปราชญ์ผู้มากความรู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามรองเจ้าขุนเขาสามท่านของสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ ผู้มีชื่อเสียงในวงการภาษาและวรรณกรรมของราชวงศ์ต้าสุยจึงจำเป็นต้องกราบทูลฝ่าบาทหนึ่งคำ แล้วเดินออกไปจากกลุ่มเพียงลำพังเพื่อเตือนเด็กกลุ่มนั้นว่าควรจะเข้ามาในสำนักศึกษาได้แล้ว
ยังดีที่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันหรืออุปสรรคอื่นๆ เกิดขึ้นอีก แม้พวกเด็กๆ จะไม่รู้พิธีการของราชสำนัก แต่พวกเขาชนะใจผู้คนด้วยความบริสุทธิ์และน่ารัก ทำพิธีคำนับตามรูปแบบของศิษย์ลัทธิขงจื๊อได้เหมือนผู้ใหญ่ นี่ทำให้ฮ่องเต้ต้าสุยทรงโสมนัสอย่างยิ่ง ประทานหยกประดับ ‘เที่ยงธรรม’ คนละก้อนและก้อนหมึกมังกรทองคนละหนึ่งกล่องแก่เด็กทั้งห้ากับพระหัตถ์ตัวเอง หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษาแล้ว นอกจากจำเป็นต้องกราบไหว้ภาพแขวนของปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว พิธีการซับซ้อนยิบย่อยอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลาเป็นครึ่งวันล้วนตัดทอนให้เรียบง่ายที่สุด นี่ทำให้พวกหลี่เป่าผิงสามคนที่ทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ส่วนอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยนั้นกลับเห็นเป็นปกติ ไม่มีท่าทางตื่นเต้นตึงเครียดให้เห็น
สุดท้ายรองเจ้าขุนเขาเป็นผู้พาพวกเขาไปยังหอพักของใครของมัน บอกเล่าถึงคาบเรียนที่จะสอนในภายหลัง คนทั้งห้าถูกแยกกันพักอยู่คนละเรือน เนื่องด้วยสำนักศึกษากินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างมาก นอกจากจะอาคารสิ่งปลูกสร้างเรียงกันเป็นตับที่สร้างอิงอยู่กับภูเขาแล้ว อันที่จริงภูเขาตงหัวทั้งลูกล้วนถูกต้าสุยยกให้เป็นของสำนักศึกษาซานหยาทั้งหมด ดังนั้นหอพักแต่ละแห่งจึงอยู่ห่างกันพอสมควร
สำนักศึกษาที่ต้าสุยฝากความหวังไว้สูงแห่งนี้มีนักเรียนไม่ถึงสองร้อยคน แต่กลับมีอาจารย์ที่มีความรู้ลึกล้ำ มีคุณธรรมสูงส่งมากถึงสามสิบท่าน
เจ้ากรมพิธีการของต้าสุยรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาด้วยตัวเอง แต่ก็เป็นแค่ในนามเท่านั้น รองเจ้าขุนเขาอันดับหนึ่งที่ควบคุมดูแลกิจการงานต่างๆ ในสำนักศึกษาคืออาจารย์ที่เคยสอนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแห่งเดิม ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเหวินเซิ่ง มีนามว่าเหมาเสี่ยวตง มีจมูกโตบวมแดง อายุมากถึงเก้าสิบปี แต่สีหน้าท่าทางยังดี มองดูคล้ายคนอายุห้าสิบหกสิบปีเท่านั้น
ครั้งนี้ผู้เฒ่าไม่ได้ออกหน้ามาต้อนรับ เหตุผลก็เพราะต้องสอนหนังสือ ไม่อาจให้กระทบต่อการเรียนปกติของนักเรียนคนอื่นได้ ฮ่องเต้ต้าหลีย่อมไม่มีความเห็นต่าง
เล่าลือกันว่าตรงเอวของรองเจ้าขุนเขาผู้นี้ห้อยไม้บรรทัดไม้แดงไว้อันหนึ่ง ด้านบนสลักคำว่ากฎระเบียบ ได้ยินมาว่ามีคนเคยเห็นกับตาว่าด้านหน้าตัวอักษรคำว่าระเบียบบนไม้บรรทัด ไม่รู้ว่าใครสลักตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเล็กๆ สองตัวว่า ‘ไม่อาจละเมิด’ เอาไว้
ครั้งนี้ต้าสุยรับเอาควันธูปที่เหลืออยู่ของสำนักศึกษาซานหยามาได้สำเร็จ นับว่าอยู่เหนือการคาดการณ์ อันดับแรกคือการที่ยอมฮ่องเต้ต้าหลียอมปล่อยผ่าน ซึ่งนับว่าสำคัญอย่างถึงที่สุด หาไม่แล้วทุกอย่างก็ล้วนหมดหวัง ไม่ว่าฮ่องเต้ผู้เฉลียวฉลาดและมากเล่ห์ผู้นั้นจะละอายใจต่อฉีจิ้งชุนหรือมีแผนการอย่างอื่น ผู้คนตลอดทั้งราชสำนักต้าหลีก็ล้วนคิดว่าการรับช่วงต่อสำนักศึกษาแห่งหนึ่งเป็นเรื่องที่ดีงาม แต่ว่าแรกเริ่มสุดพวกอาจารย์และนักเรียนของสำนักศึกษาซานหยามีอยู่ทั้งหมดสี่สิบกว่าคน การที่พวกเขาสามารถออกจากเขตแดนต้าหลีมาได้อย่างราบรื่นในท้ายที่สุด ผู้เฒ่าท่านนี้มีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง ตลอดทางที่ผ่านมาหาใช่สะดวกราบรื่น กลับกันคือยังรายล้อมไปด้วยภยันอันตราย
หากจะพูดถึงสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ต้าสุยทุ่มเทกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปมากมาย แต่ก็เนื่องจากขาดผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาอย่างฉีจิ้งชุนไป รวมไปถึงไม่มีบุคคลที่มีการ ‘สืบทอดสายตรง’ ได้มากพอ ก็เห็นได้ชัดว่าแม้ทุกอย่างจะพร้อมสรรพ แต่ก็ยังขาดสิ่งสำคัญที่สุดส่วนสุดท้ายไปอยู่ดี
ถ้าเช่นนั้นนับแต่วันนี้ไป เมื่อเด็กนักเรียนห้าคนที่เดินทางรอนแรมไกลมาถึง สิ่งสำคัญที่ว่านั้นก็ได้มาอยู่ในภูเขาตงหัวแล้ว
กึ่งกลางของภูเขาตงหัวมีเรือนหลักเหวินเจิ้งอยู่แห่งหนึ่ง ตรงกลางแขวนรูปภาพปรมาจารย์มหาปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ซ้ายขวาขนาบสองข้างแบ่งออกเป็นผู้เฒ่าหน้าตาเคร่งขรึมที่จงใจปิดบังชื่อแซ่ท่านหนึ่ง ส่วนฝั่งขวาคือภาพแขวนของฉีจิ้งชุนผู้เป็นเจ้าขุนเขาคนแรกของสำนักศึกษาซานหยา ในห้องโถงมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดไม้แดงอันเป็นเอกลักษณ์กำลังจุดธูปสามก้านกราบไหว้อริยะปราชญ์ทั้งสามท่านอย่างเคารพนอบน้อม ยามปักธูปลงในกระถาง ผู้เฒ่าที่ก้มหน้าก็พึมพำเบาๆ ว่า “หลักการและเหตุผลปรากฏบนบทประพันธ์ เปลวไฟริกไหวสืบทอด”
……
สำนักศึกษาซานหยาแห่งเก่าที่มีฉีจิ้งชุนเป็นผู้ปกครองมีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่บอกว่า สนเรื่องอยู่ ไม่สนเรื่องกิน
ด้วยเหตุนี้ในยุคสมัยที่สำนักศึกษาซานหยายังอยู่ในต้าหลี ลูกหลานของคนตระกูลยากจนทางทิศเหนือจำนวนมากที่มาขอศึกษาต่อจึงมักจะช่วยทางสำนักศึกษาคัดลอกตำรา คัดลอกคัมภีร์ เพื่อหาเงินค่าอาหารให้กับตัวเอง
สำนักศึกษาซานหยาแห่งต้าสุยในยามนี้ก็ยังไม่ได้ยกเลิกกฎข้อนี้ไป แต่มีการอะลุ่มอล่วยให้มากกว่าเดิม หนึ่งก็เพราะตอนนี้จำนวนคนของสำนักศึกษาส่วนใหญ่นั้นมาจากลูกหลานของคนในท้องถิ่นต้าสุย เนื่องด้วยคนกลุ่มแรก ราชสำนักต้าสุยเลือกมาจากคนใกล้ชิด ดังนั้นคนแทบทั้งหมดจึงมาจากลูกหลานของตระกูลใหญ่ในต้าสุย คนเหล่านี้ไม่ขาดเงิน สองคือสำนักศึกษาแห่งใหม่ปฏิบัติต่อเหล่านักเรียนเป็นอย่างดี ลำพังเพียงแค่ตำรา หมึก พู่กัน หรือแม้แต่ชุดขงจื๊อ ทางสำนักศึกษาก็ล้วนเป็นผู้มอบให้ นี่คือทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง
หลี่ไหวคือเด็กที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม หลังจากมาถึงหอพัก เนื่องจากเพื่อนร่วมหอนอนยังเรียนหนังสือกันอยู่ ยังไม่มีใครกลับมา เด็กชายยืนอยู่เพียงลำพังในห้องกว้างที่ว่างเปล่า หลี่ไหวที่เพิ่งร้องไห้ตอนอยู่ตีนเขามาแล้วรอบหนึ่งพลันนั่งยองลงบนพื้นแล้วสะอึกสะอื้น รู้สึกเพียงว่าตนไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วยังไม่มีเพื่อน ใต้หล้านี้เหตุใดถึงมีเด็กที่น่าสงสารขนาดเขาได้ น่าสงสารเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกป้ายน้ำมูกน้ำตา มอมแมมเปรอะเปื้อนไปหมด
สุดท้ายหลี่ไหวก็เปิดหีบหนังสือพลางร้องไห้ไปด้วย ต้องเปลี่ยนมาสวมรองเท้าสานคู่นั้นถึงจะสบายใจขึ้น แต่ก็กลัวอีกว่าสวมรองเท้าแตะแล้วจะทำให้คนดูถูก จึงเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เด็กชายที่โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งร้องแล้วร้องอีก นึกถึงความดีทุกอย่างของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มจากบ้านเกิดเดียวกันที่ตัวเองตัดสินใจแล้วว่าจะเรียกเขาอาจารย์อาน้อย แต่สุดท้ายกลับไม่ทันได้เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากเก็บหีบหนังสือไว้เรียบร้อยแล้ว หลินโส่วอีก็ออกจากห้องมาเดินเล่นเพียงลำพัง ฝีเท้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเย็นชาหนักแน่นและมั่นคง สุดท้ายเขาก็พบหอเก็บตำราสูงตระหง่านหลังหนึ่งเจอ เนื่องจากเพิ่งสร้างใหม่จึงยังมีกลิ่นหอมของไม้อยู่จางๆ
ตลอดทางที่เดินมาได้ยินเสียงท่องตำราที่คุ้นเคยดังแว่วๆ เมื่อเทียบกับตอนเรียนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็กแล้ว เสียงอ่านหนังสือนี้ดังกว่ามากมายนัก
หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก่อนเดินเข้าไปในหอตำรา
ได้ยินมาว่าตำราหมื่นเล่มของที่นี่ อ่านได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียว
หลินโส่วอีพลันรู้สึกเศร้าสร้อย หากเจ้าคนเห็นแก่เงินผู้นั้นอยู่ต่อกับพวกเขาด้วยล่ะก็ คงจะพยายามอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายเลยกระมัง เพราะอย่างไรซะนั่นก็เท่ากับเป็นการหากำไรให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง
หลี่เป่าผิงนั่งอยู่ในหอพักที่เงียบสงบและอ้างว้าง หลังเปิดหีบหนังสือออกนางก็พบจดหมายที่อาจารย์อาน้อยเขียนไว้ให้ ในจดหมายกล่าวอะไรไว้มากมาย บอกว่าเขาจะกลับบ้านแล้ว และจะช่วยนำข่าวไปบอกแก่คนที่บ้านของนางว่านางสบายดี จะต้องบอกให้พี่ชายใหญ่ของนางรู้ว่าตลอดทางนี้นางเป็นเด็กดีมาก แล้วก็ลำบากมาก บอกว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทองนั้นถูกเขาเจาะเป็นรูแล้วเอาเชือกสีแดงร้อยไว้ วันหน้านางต้องเอามาห้อยคอ อย่าทำหาย หากมียามใดร้อนใจต้องใช้เงิน สามารถเอามันไปแลกเป็นเงินได้
ในจดหมายยังบอกด้วยว่าเขาเตรียมปิ่นหยกไว้ให้นาง หลินโส่วอีและหลี่ไหวคนละหนึ่งอัน ถือเป็นของขวัญจากลา บนปิ่นสลักคำว่า “เป่าผิง” “โส่วอี” และ “ไหวอิน” ตลอดทางมานี้เขาแทบจะไม่เคยได้ช่วยเหลืออะไรมากมาย นี่ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง อย่าได้รังเกียจ หากรู้สึกว่าไม่สวยพอก็เก็บไว้แล้วกัน
หลี่ไหวเป็นเด็กขี้ขลาด วันหน้าต้องไปเล่นกับเขาบ่อยๆ อย่าให้เขาถูกคนในสำนักศึกษารังแก หลินโส่วอีนิสัยเย็นชา ก็ต้องไปคุยเล่นกับเขาให้มาก อย่าให้ความสัมพันธ์ต้องห่างเหินกันไปทั้งอย่างนี้ วิชาหมัดมวยของอวี๋ลู่ร้ายกาจมาก อันที่จริงเซี่ยเซี่ยเองก็เป็นเทพเซียนบนภูเขา หากเกิดความขัดแย้งกับใครเข้าจริงๆ เจ้าเป่าผิงอย่าได้รีบร้อนบุกนำอยู่ด้านหน้าสุดเด็ดขาด สามารถไปขอให้พวกเขาสองคนช่วยเหลือโดยไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ ต่อให้ติดค้างน้ำใจพวกเขา วันหน้าอาจารย์อาน้อยก็จะช่วยใช้คืนให้เอง
หินลับมือที่ชื่อว่าแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้น อาจารย์อาน้อยทิ้งไว้ในหีบหนังสือของเจ้าแล้ว แต่จำไว้ว่าวันหน้าหากจะลับมีดต้องหาสถานที่ที่ไม่มีผู้คน อย่าทำให้พวกเพื่อนร่วมห้องต้องตกใจ อีกอย่างก็คือจำไว้ว่าต้องเก็บน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กไว้ให้ดี…
สุดท้ายในจดหมายเขียนว่า ท้ายที่สุดแล้วอาจารย์อาน้อยอย่างเขาจากไปโดยไม่ลา ไม่ได้เข้าไปในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเจ้า จึงต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย เดินทางมาไกลขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้เริ่มต้นด้วยดีและจบลงด้วยดี เป็นความผิดของอาจารย์อาน้อยอย่างเขาเอง วันหน้าพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ให้ดี ต้องตั้งใจเรียน หากมีหน้ามีตา อาจารย์อาน้อยก็จะเอาไปโม้กับคนอื่นได้ บอกว่าตัวเองรู้สึกหลี่เป่าผิง รู้จักหลี่ไหว รู้จักหลินโส่วอี เขาเฉินผิงอันรู้จักทุกคน
ในจดหมายเขียนเรื่องยิบย่อยไว้มากมาย แต่ทุกตัวอักษรกลับเขียนอย่างพิถีพิถัน เป็นระบบระเบียบ ทั้งไม่ปราดเปรียว แล้วก็ไม่ตวัดล่องลอย
เหมือนนิสัยและจิตใจของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงผู้นั้น
ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ดีก็ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ไม่ว่าจะถนอมรักษาอย่างไรก็ไม่เกินไป
อ่านไปอ่านมา หยาดน้ำตาบนใบหน้าของแม่นางน้อยที่ชื่อหลี่เป่าผิงก็ไหลพรากๆ ลงบนจดหมาย คล้ายฝนฤดูใบไม้ร่วงแห่งความระทมทุกข์จากการพรากจาก
ไม่รุนแรงไม่เบาบาง แต่กลับทำให้เศร้าใจ
แม่นางน้อยหัวรั้นยังพร่ำบอกตัวเองไม่หยุดว่า “ไม่ร้องๆ หากอาจารย์อาน้อยเห็นเข้าต้องเสียใจตายแน่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!