ลูกเขยฟ้าประทาน นิยาย บท 10

“คุณย่าครับ คุณย่าจะให้ซูหยิงเซี่ยรับผิดชอบเรื่องนี้จริงเหรอครับ?” ซูไห่เฉาพูดกับคุณย่าของเขาในห้องนั่งเล่นที่บ้านพักของตระกูลซู

หญิงชรายิ้มรับและตอบว่า “สัญญานี้หยิงเซี่ยเป็นคนเจรจามาได้ ฉันมอบหมายให้เธอเป็นคนรับผิดชอบแล้วมันผิดตรงไหน?”

“แม่ครับ แม่ลองคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบนะครับ ซูหยิงเซี่ยเป็นผู้หญิง ถ้าเธอสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทเราได้ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับซูไห่เฉานะครับ” ซูกั๋วหลินกล่าว

หญิงชราของตระกูลซูมองทั้งสองอย่างไม่พอใจและกล่าวว่า “ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน”

“คุณย่าครับ ถึงแม้ว่าหานซานเฉียนจะเข้ามาเป็นภาระในตระกูลเรา แต่เขาก็เป็นคนละนามสกุลกับเรา ตลอดสามปีที่ผ่านมา เจ้าคนต่ำต้อยนี่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าบริษัทต้องไปอยู่ในความดูแลของซูหยิงเซี่ย คุณย่าไม่กลัวว่าทรัพย์สินของตระกูลซูของเราจะตกไปอยู่ในมือของคนนามสกุลคนอื่นเหรอครับ” ซูไห่เฉากล่าว

“หยิงเซี่ยกับเจ้าคนต่ำต้อยนี้ไม่มีความรู้สึกผูกพันธ์อะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์ของตระกูลซู ฉันคงจะให้พวกเขาหย่ากันไปนานแล้ว เหตุการณ์ที่พวกแกกังวลไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น” หญิงชรากล่าว

ซูไห่เฉากัดฟันและพูดต่อว่า “คุณย่าครับ ใครจะไปรู้อนาคตได้ เราต้องคิดเผื่อไว้ เพราะเราได้เซ็นสัญญาไปแล้ว การเปลี่ยนคนรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีผลอะไร ท่านจะใช้อนาคตของตระกูลซูมาเดิมพันกับความสัมพันธ์ของซูหยิงเซี่ยและหานซานเฉียนอย่างนั้นเหรอครับ?"

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของหญิงชราก็จริงจังขึ้น

แม้ว่าซูหยิงเซี่ยและหานซานเฉียนจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในตอนนี้ แต่ในอนาคตก็ไม่มีใครรับประกันว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอาจดีขึ้นก็ได้?

โครงการเฉิงซีมีความสำคัญต่อตระกูลซูมาก มันจะช่วยยกระดับสถานะของตระกูลซูในเมืองหยุนเฉิงได้เป็นอย่างดี ซึ่งหมายความว่าในอนาคตบุคคลที่รับผิดชอบโครงการนี้จะมีตำแหน่งสูงขึ้นในบริษัทอย่างแน่นอน

หากซูหยิงเซี่ยเอาชนะใจคนในตระกูลซูได้ ตระกูลซูอาจตกอยู่ในมือของหานซานเฉียนจริง ๆ ก็ได้

“คุณย่าครับ หานซานเฉียนยอมอดทนมาหลายปี ผมสงสัยว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง บางทีเขาอาจจะรอให้ถึงวันนั้นก็ได้นะครับ” ซูไห่เฉายังคงพูดเกินความจริงต่อไป

หญิงชราพ่นลมหายใจออกมา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไอ้คนต่ำต้อยคนนี้กล้าคิดอยากได้ทรัพย์สมบัติตระกูลซูของฉันได้ยังไง ฝันไปเถอะ จากนี้ไปแกเข้ามารับผิดชอบโครงการนี้ ฉันจะโทรบอกซูหยิงเซี่ยเอง”

เมื่อซูไห่เฉาได้ยินดังนั้น เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็แสร้งทำเป็นใจเย็นและพูดว่า “คุณย่า ผมไม่ได้พยายามที่จะขโมยคุณงามความดีของซูหยิงเซี่ยนะครับ ผมแค่ทำเพื่อตระกูลซูของเราเท่านั้น”

หญิงชราอายุมากขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าซูไห่เฉาคิดอะไร

“แกไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มันดูดีหรอก ฉันรู้ว่าแกคิดอะไร และอย่ามาหลอกฉันอีก ชาผู่เอ๋อร์นั้นเอาไปให้หมูมันยังไม่กินเลย” หญิงชราตะคอก

ซูไห่เฉาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าและตอบว่า “คุณย่าพูดถูก จากนี้ไปซูไห่เฉาจะทำทุกอย่างด้วยความสัตย์จริง”

ซูหยิงเซี่ยที่กำลังเตรียมข้อมูลอยู่นั้น เมื่อได้รับสายจากคุณย่า ก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าทันที

แม้ว่าการเจรจาขอเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เธอก็เป็นคนไปเจรจามาเอง จะยกให้ซูไห่เฉามารับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ได้อย่างไร?

“คุณย่าคะ ฉัน...”

“ฉันตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เธอพักผ่อนก็แล้วกัน”

ซูหยิงเซี่ยได้ยินเสียงที่วุ่นวายจากทางโทรศัพท์ของคุณย่า เธอกัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้น เธอรู้ว่าต้องเป็นซูไห่เฉาแน่ ๆ ที่ทำเรื่องชั่วช้าลับหลังเธอแบบนี้ เพื่อให้คุณย่าเปลี่ยนผู้รับผิดชอบ

หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นสายจากซูไห่เฉา

เมื่อซูหยิงเซี่ยรับสาย ซูไห่เฉาก็พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอันภาคภูมิใจของเขาว่า “ซูหยิงเซี่ย เธอคงไม่คิดว่าโอกาสทองนี้จะเป็นของเธอหรอกใช่ไหม ฉันจะบอกอะไรให้ เธอจะต้องอยู่ใต้เท้าของฉันไปตลอดชีวิต”

“ซูไห่เฉา นายมันทั้งน่ารังเกียจและไร้ยางอาย ฉันเป็นคนเจรจาการขอเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้มาได้” ซูหยิงเซี่ยตอบกลับอย่างไม่พอใจ

“แล้วยังไงล่ะ คุณย่าให้ฉันเป็ผู้รับผิดชอบเอง เธอกล้าขัดไหมล่ะ? พูดตามหลักแล้ว ฉันควรจะต้องขอบคุณเธอ ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงจะไม่มีโอกาสรับผิดชอบโครงการนี้ ช่วยไม่ได้ เพราะเราคือศัตรูกัน ชีวิตของเธอคงถูกลิขิตมาให้อยู่กับไอ้คนไร้ประโยชน์คนนั้น แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เกิดมาแล้วก็รอความตาย ไม่ต้อง...”

ก่อนที่ซูไห่เฉาจะพูดจบ ซูหยิงเซี่ยก็กดวางสาย เธอโกรธมากจนขนลุกไปทั้งตัว

เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของคุณย่า ซูหยิงเซี่ยรู้ว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ที่ซูไห่เฉาโอ้อวดอำนาจต่อหน้าเธอ เธอก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

“กรี๊ด!” ซูหยิงเซี่ยกรีดร้องด้วยความโกรธ

เสียงกรีดร้องนั้นทำให้ซูกั๋วเย่าและเจี่ยงหลานตื่นตกใจ ทั้งสองรีบวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่นทันที

เจี่ยงหลานรู้สึกอารมณ์เสีย จะมีอารมณ์นอนได้อย่างไรแต่เธอก็ถูกซูกั๋วเย่าลากกลับห้องไป

ซูหยิงเซี่ยกลับมาที่ห้อง เธอปิดประตูแล้วพูดกับหานซานเฉียนว่า “ฉันขอโทษแทนแม่ด้วย ท่านไม่รู้อะไร ถึงได้…”

“ถ้าผมคิดมาก ผมคงหนีออกจากบ้านไปนานแล้ว” หานซานเฉียนพูดอย่างไม่ใส่ใจ

หนีออกจากบ้าน?

สำหรับซูหยิงเซี่ย สี่คำนี้กระแทกใจเธอเข้าอย่างจัง เขาคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเขาจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?

“ถูกเยาะเย้ยและถูกดูถูกอย่างเย็นชาทุกวัน คุณไม่ใส่ใจเลยจริง ๆ เหรอ?” ซูหยิงเซี่ยถาม

“คุณต้องทนมากกว่าผมอีก ผมมีสิทธิ์อะไรจะไปใส่ใจกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ซูหยิงเซี่ยก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ เธอเอามือขึ้นปิดหน้า และน้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาเป็นสาย

นาย...ยอมทนทุกอย่างนี้เพราะฉันอย่างนั้นเหรอ?

วันรุ่งขึ้น ซูไห่เฉาสวมสูทที่แพงที่สุดในตู้เสื้อผ้าของเขาและยืนอยู่หน้าประตูบริษัทราวกับสุนัข เพื่อต้อนรับการมาของจงเหลียง

ถึงแม้จะเซ็นสัญญาไปแล้ว แต่การประชุมวันนี้ก็สำคัญเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้จงเหลียงยอมรับในเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบนี้

ซูไห่เฉามั่นใจว่าเขาสามารถแทนที่ซูหยิงเซี่ยได้ เพราะเขามีตำแหน่งในบริษัทที่สูงกว่าซูหยิงเซี่ย และมีสิทธิ์ที่จะพูดมากกว่าเธอ ดังนั้นจะต้องทำให้จงเหลียงรู้สึกว่าตระกูลซูให้ความสำคัญกับการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้แน่นอน

เมื่อเขาเห็นคุณจงเหลียงจากระยะไกล ซูไห่เฉารอแทบไม่ไหวที่จะเดินเข้าไปหา

“สวัสดีครับพี่จง ผมชื่อซูไห่เฉา และผมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ของตระกูลซูครับ” ซูไห่เฉายื่นมือออกไปอย่างสุภาพบุรุษเพื่อแนะนำตัวเอง

จงเหลียงยื่นมือของเขาออกมาจับตอบ ซูไห่เฉาดีใจมาก ดูเหมือนว่าจงเหลียงจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบของตระกูลซูแล้ว ซูหยิงเซี่ยเจรจาได้เพียงเพราะโชคช่วยจริง ๆ ด้วย จะมีเธอหรือไม่นั้นมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยฟ้าประทาน