ณ โรงแรมเพนนินซูล่า ห้องของประธานาธิบดี
ที่นั่งฝั่งตรงข้ามของหานซานเฉียนคือหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งหน้าอย่างวิจิตรงดงาม สวมชุดที่มีสีทองสลับเงิน และมีท่วงท่าที่สง่างาม
“ซานเฉียน ในที่สุดลูกก็มาหาแม่สักที แม่มีความสุขมากเหลือเกิน” ผู้หญิงคนนี้ชื่อฉือจิง เธอเป็นแม่ของหานซานเฉียน
เมื่อเผชิญหน้ากับมารดาผู้ให้กำเนิด ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสามปี หานซานเฉียนกลับไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร และเขาแทบจะไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำไป
“ใครจะไปคิดว่าลูกชายคนสุดท้องของตระกูลหานที่ถูกทอดทิ้งอย่างผม วันนึงเกิดมีประโยชน์ขึ้นมา? ผมไม่เคยคิดมาก่อน คุณเองก็คงจะคิดเหมือนกัน” หานซานเฉียนยกมุมปากขึ้นเบา ๆ
“ซานเฉียน แม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วมันไม่ยุติธรรมกับลูก แต่มันเป็นการตัดสินใจของคุณย่า และแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย” ฉือจิงกล่าวขึ้นอย่างไม่สบายใจ
หานซานเฉียนส่ายหัวและพูดว่า “สามปี? ในสายตาของคุณ ความอยุติธรรมเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วเองงั้นเหรอ?”
“สิบสามปีที่แล้ว เขาอายุสิบสองขวบ มีเพียงแค่ชื่อเขาอยู่บนเค้กวันเกิดเท่านั้น ทุกคนคงคิดว่าเขามีความสุข แต่ทุกคนคงลืมไปว่าผมอายุน้อยกว่าเขาแค่ห้านาทีเท่านั้น และตั้งแต่นั้นมา ความไม่ยุติธรรมก็ตกมาที่ผม สิบสามปีที่แล้ว เขาพูดประจบจนทุกคนหลงรัก แล้วผมล่ะ? ไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเรียนได้เกรดดีเท่าไหร่ พวกคุณก็ไม่เคยเห็นค่าผมในสายตาด้วยซ้ำ”
“ถ้าเขาไม่ติดคุก คุณจะนึกถึงผมไหม?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหานไม่มีทายาทแล้ว คุณจะยังนึกได้ไหมว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ชื่อหานซานเฉียนคนนี้อยู่?”
“ท่านไม่คู่ควรกับการเป็นย่าของผม และคุณก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่ของผมด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ ได้แต่ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้
“ตระกูลหานติดหนี้ผมหลายอย่าง และผมจะทวงมันคืนมาให้หมด”
“เธอบอกว่าเธอไม่อยากโดนดูถูก และเธอไม่อยากเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นอีกต่อไป”
ฉือจิงสูดหายใจเข้าลึก ค่อย ๆ สงบอารมณ์ของเธอและพูดว่า “เมืองหยุนเฉิงจะก่อตั้งบริษัทใหม่ และลูกจะต้องรับผิดชอบมันทั้งหมด”
“เหอะ ๆ นี่เป็นการทดสอบที่ท่านใช้กับผมเหรอ ถึงแม้ว่าตระกูลหานจะไม่ยอมรับในตัวผม แต่ท่านก็ยังสงสัยในความสามารถของผมอยู่ใช่ไหม?” หานซานเฉียนมองไปที่แม่ของเขาด้วยแววตาที่ลุกโชนเป็นไฟ ก่อตั้งบริษัทใหม่โดยให้เขาเป็นเจ้าของ ฟังแล้วดูดีเหลือเกิน แต่เขารู้ว่านี่เป็นเพียงบททดสอบที่คุณย่ากำหนดให้เขาเท่านั้น มีเพียงการตั้งใจบริหารบริษัทของหยุนเฉิงเท่านั้นที่จะทำให้เขามีโอกาสได้สืบทอดตระกูลหาน
ฉือจิงพยักหน้ารับและไม่ได้พูดตอบอะไร
“ตกลง ผมจะแสดงให้ท่านเห็นว่าใครกันแน่ที่มีคุณสมบัติสืบทอดตระกูลหาน และจะทำให้ท่านเสียใจที่ดูถูกผม ยังไงก็ตาม ผมไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพื่อตระกูลหาน แต่ผมทำเพื่อเธอ”
เมื่อหานซานเฉียนออกจากห้องของโรงแรมแล้ว ฉือจิงจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา
“คุณแม่คะ เขาตกลงแล้วค่ะ”
“ฉันหวังว่าเขาจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง ไม่อย่างนั้นฉันจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหาน และจะไม่ทิ้งเงินให้เขาสักหยวนเดียว”
ฉือจิงเงียบ และเธอก็ไม่ได้พูดตอบอะไรอีก เพราะไม่ใช่เพียงแค่หญิงชราของตระกูลหานเท่านั้น แม้แต่เธอเองก็ให้ความสำคัญกับพี่ชายของหานซานเฉียนมากกว่า หากไม่ใช่เพราะถูกบังคับ เธอก็ไม่เคยคิดจะไม่มาที่เมืองหยุนเฉิงนี้เลย
วันรุ่งขึ้น ข่าวออกอย่างครึกโครมราวกับพายุในหยุนเฉิง
ตระกูลหานจะก่อตั้งบริษัทใหม่ในเมืองหยุนเฉิง ในฐานะยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาของเมืองหยุนเฉิงอย่างแน่นอน สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่บริษัทใหม่ของตระกูลหาน โดยหวังจะได้เป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้
สามวันต่อมา ตระกูลหานได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการในเมืองหยุนเฉิง ซึ่งจดทะเบียนในนามบริษัทลั่วเฉว
ทุกคนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะชื่อบริษัทใหม่ของตระกูลหานนั้นแปลกมาก ทำให้เกิดข้อสงสัยใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
บริษัทลั่วเฉวซื้อที่ดินรกร้างที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาทั้งหมดทางตะวันตกของเมือง เพื่อสร้างเขตเมืองใหม่ ไม่มีใครสงสัยในความแข็งแกร่งของบริษัทลั่วเฉว แม้จะมีข่าวลือที่หลุดออกมา และหลายคนก็เชื่อว่า ในอนาคตเมืองหยุนเฉิงทางทิศตะวันตกคงจะเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุด
ทันใดนั้น ประตูของบริษัทลั่วเฉวก็เกือบจะพัง เพราะหุ้นส่วนนับไม่ถ้วนต่างก็หลั่งไหลกันเข้ามา โดยหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท
ตระกูลซูซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง จึงไม่แปลกที่พวกเขาต้องการเป็นหุ้นส่วน และบางคนก็สงสัยว่าตระกูลหานนี้ คือตระกูลหานที่ส่งของขวัญหมั้นมาให้
สิ่งนี้ทำให้บรรดาสาวโสดที่ยังไม่แต่งงานของตระกูลซูมีความสุขมาก และรู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายวันหลายคืน เพราะการที่จะได้แต่งงานกับคนของตระกูลหานนั้นยิ่งใหญ่มาก
แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อตระกูลซูมาขอเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกเขาก็ถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้ เมื่อญาติทุกคนของตระกูลซูมาถึงก็เริ่มการจัดประชุมภายในบริษัทขึ้น
หญิงชราของตระกูลซูนั่งอยู่ในตำแหน่งคณะกรรมการบริหาร มองดูเหล่าญาติที่สิ้นหวังของเธอ และกล่าวขึ้นว่า “คราวนี้เรามีคู่แข่งมากมาย แต่ทุกคนคงจะรู้ดีว่า หากเราได้ร่วมมือกับบริษัทลั่วเฉว มันจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลซูมากแค่ไหน มันอาจทำให้ตระกูลของเราเป็นตระกูลแถวหน้าในเมืองหยุนเฉิงเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่พลาดโอกาสนี้”
“แม่ครับ พวกเราทุกคนพยายามทุกวิถีทางแล้ว แม้แต่เจ้าของบริษัทลั่วเฉวเราก็ยังไม่ได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ”
จินไห่เฉายิ้มอย่างผู้ชนะ และพูดว่า “หยิงเซี่ย เธออย่าขี้เกียจนะ ถ้าเธอพลาดโอกาสที่จะได้ทำข้อตกลงกับเจ้าของบริษัทลั่วเฉว เธอจะต้องรับผิดชอบ”
“ใช่ นี่เป็นโอกาสเดียวสำหรับตระกูลซูของพวกเรา อย่าทำเป็นพูดว่าเต็มใจทำ แต่จริง ๆ แล้วเธอแอบขี้เกียจ”
“ถ้าไม่อย่างนั้น ก็หาคนติดตามและจับตาดูเธอไว้ไหม”
ซูหยิงเซี่ยฟังคำพูดเหล่านี้แล้วกัดฟันด้วยความเจ็บใจ เธอก็คือสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลซู และนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ แต่เธอกลับได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนนอก และยังต้องให้คนมาจับตาดูเธออีก?
“จากประวัติของเธอที่เคยทำงานพลาด ฉันคิดว่าควรหาใครสักคนมาติดตามเธอจะดีกว่า”
“ฉันเห็นด้วย”
ญาติกลุ่มหนึ่งพยักหน้า และหญิงชราของตระกูลซูก็เห็นด้วยจึงพูดขึ้นว่า “งั้นเธอก็พาใครสักคนไปกับเธอด้วย ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ก็จะสามารถช่วยเธอได้”
ซูหยิงเซี่ยกำมือแน่นและรู้สึกไม่พอใจมาก เมื่อเธอคิดถึงข้อความที่หานซานเฉียนส่งถึงเธอ เธอก็โพล่งออกมาอย่างหุนหันพลันแล่นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ฉันจะไม่ขี้เกียจ และฉันจะเจรจาการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้ให้ได้”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น
“ซูหยิงเซี่ย เธอไม่มีสมองเลยใช่ไหม พวกเรายังทำไม่ได้ แล้วเธอจะทำได้ยังไง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ผมได้ยินในปีนี้เลย ผมขำจะตายแล้ว”
ดวงตาของซูไห่เฉาเปล่งประกาย เขาตั้งใจฉวยโอกาสนี้เพื่อที่จะไล่ครอบครัวของซูหยิงเซี่ยให้ออกไปจากตระกูล
แม้ว่าครอบครัวของซูหยิงเซี่ยจะไม่น่าสนใจ แต่เธอก็เป็นหนึ่งในตระกูลซู ในอนาคตหากคุณย่าเสียชีวิต เธอก็จะได้รับทรัพย์สมบัติของตระกูลบางส่วนเช่นกัน แต่ถ้าซูหยิงเซี่ยถูกไล่ออกจากตระกูลซูไปได้ ก็จะลดคนแย่งสมบัติไปได้อีกหนึ่งคน
“ซูหยิงเซี่ย เธอพูดเองนะ แล้วถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะจะทำยังไง” ซูไห่เฉากล่าว
ซูหยิงเซี่ยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เธอพูดออกไป แต่ตอนนี้ถ้าเธอแสดงให้เห็นว่าเธอสิ้นหวังมันจะกลายเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอน
“ถ้าเธอทำได้ ฉันจะคอยยกน้ำชาให้เธอตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และยอมเรียกเธอว่าพี่เซี่ย แต่ถ้าเธอทำไม่ได้ เธอต้องออกไปจากตระกูลซูซะ แบบนี้ดีไหมล่ะ?”
“ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยฟ้าประทาน