“เถ้าแก่ ขอบุหรี่หน่อยครับ”
“นายนี่ตรงเวลาทุกวันเลยนะ”
ณ ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามของบริษัทซู เจ้าของร้านมองไปที่หานซานเฉียนพร้อมกับถอนหายใจ
วันหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว ชายหนุ่มผู้นี้จะมาที่นี่อย่างตรงต่อเวลาเสมอ นี่ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ตอนแรกเถ้าแก่ก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ค่อย ๆ สังเกตได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ซูหยิงเซี่ยออกมาจากบริษัท ชายหนุ่มคนนี้ก็จะตามออกมาด้วย
สําหรับตัวตนของหานซานเชียน เถ้าแก่พอจะเดาได้คร่าว ๆ แต่ก็ไม่ได้บอกแน่ชัดว่าตระกูลมีปมที่ยากจะอ่านออกได้ ลูกเขยของตระกูลซูคนนี้ได้รับการปฏิบัติราวกับขยะจากคนทั้งหยุนเฉิง บางทีเขาอาจไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็ได้
“ผมไม่มีอะไรทำอยู่แล้วครับ” หานซานเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่เป็นชายวัยกลางคน เขาชื่นชมความพากเพียรของหานซานเฉียนมาก เวลาผ่านมาสามปีแล้วที่เขามาที่นี่ในเวลาสี่โมงครึ่งตรงเวลาทุกวัน และคอยปกป้องซูหยิงเซี่ยอยู่อย่างเงียบ ๆ เสมอ
“เมื่อไหร่นายถึงจะไปรับเธอหลังเลิกงานล่ะ? เอาแต่มองแบบนี้ทุกวัน มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ในร้านไม่มีลูกค้า เถ้าแก่จึงได้พูดกับหานซานเฉียน
หานซานเฉียนมองไปที่ประตูของบริษัทซูและยิ้มเบา ๆ ก่อนจะตอบว่า “มันยังไม่ถึงเวลาครับ”
“น้องชาย มีคำกล่าวอยู่คำนึง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดได้หรือเปล่า” เถ้าแก่เอ่ย
“แน่นอนครับ”
“ฉันคิดว่านายดูไม่เหมือนคนธรรมดาเลย ทำไม...ทำไมนายถึงแต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลซูล่ะ?” แม้ว่าเถ้าแก่ไม่ได้มีสายตาที่เฉียบแหลม แต่ทุกวันเขาก็ติดต่อกับลูกค้าจำนวนมาก ในสายตาของเขา หานซานเฉียนนั้นแตกต่างจากคนอื่น ๆ มันยากที่จะบอกว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่เถ้าแก่คิดว่าเขาแตกต่างจากคนเหล่านั้น
“มีเลือดมีเนื้อ กิน ดื่ม และนอนไม่ต่างจากคนอื่น ผมเป็นคนธรรมดานั่นแหละครับ” หานซานเฉียนตอบ
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” เถ้าแก่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ต้องทนกับคำวิจารณ์มากมาย ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงปวดประสาทไปนานแล้ว”
ปวดประสาทอย่างนั้นเหรอ?
หานซานเฉียนยิ้มออกมา ในฐานะที่เขาเป็นเหมือนคนต่ำต้อยและลูกชายที่ถูกทอดทิ้ง เมื่อแต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลซู ซูหยิงเซี่ยยังไม่ปวดประสาทเลย แล้วเขามีสิทธิ์อะไรที่จะปวดประสาทกัน
ในสายตาของคนอื่น หานซานเฉียนต้องทนต่อความอัปยศอดสู
แต่ในสายตาของหานซานเฉียนนั้น ซูหยิงเซี่ยถูกเยาะเย้ยยิ่งกว่าเขา
“สิ่งที่ผมอดทน ยังเทียบกับสิ่งที่เธอเจอไม่ได้เลย” หานซานเฉียนกล่าว
เถ้าแก่ถอนหายใจและไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก
หลังจากซูหยิงเซี่ยเลิกงาน หานซานเฉียนก็บอกลาเถ้าแก่ตามปกติ และขับรถยนต์ไฟฟ้าคันเล็กออกไป
ซูหยิงเซี่ยยืนอยู่ที่ประตูบริษัท จนกระทั่งร่างของหานซานเฉียนลับตาไป
เป็นเวลาสามปีแล้วที่หานซานเฉียนมารอซูหยิงเซี่ยเลิกงานทุกวัน
และซูหยิงเซี่ยก็รอให้หานซานเฉียนกลับไปก่อนเธอถึงจะขึ้นรถ
เมื่อกลับถึงบ้าน ซูกั๋วเย่าบอกกับเจี่ยงหลานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุม เจี่ยงหลานก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าขึ้นมาทันที
“ซูหยิงเซี่ย ลูกบ้าหรือเปล่า ลูกเคยคิดบ้างไหมว่าเราจะอยู่ยังไงถ้าถูกไล่ออกจากตระกูลซู”
“ซูไห่เฉาจงใจเล่นงานลูก ลูกไม่รู้หรือไงว่าเขาต้องการอะไร”
ซูหยิงเซี่ยพูดอย่างเฉยเมยว่า “ลูกรู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เราได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลซู”
เมื่อเจียงหลานได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ และเธอก็แผดเสียงออกมาว่า “ในเมื่อลูกก็รู้ แล้วลูกจะไปตกลงทำไม พวกเขายังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วลูกจะทำได้ยังไง”
ตอนนี้ซูหยิงเซี่ยรู้สึกสับสนมาก เธอเชื่อในตัวหานซานเฉียน แต่เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นถูกหรือผิดกันแน่
แม้ว่าสถานะครอบครัวของเธอในบริษัทจะต่ำมาก แต่คุณย่าเสียชีวิต เธอก็จะได้รับเงินจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเธอถูกขับไล่ออกจากตระกูลซู เธอก็จะไม่ได้อะไรเลย
การเชื่อในตัวหานซานเฉียนกับชะตาในอนาคตมันเป็นเดิมพันที่มีราคาสูง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พูดมันออกไปแล้ว จะเปลี่ยนใจได้เหรอ?
“แม่คะ แม่ไม่เชื่อในตัวลูกอย่างนั้นเหรอคะ?” ซูหยิงเซี่ยเอ่ยถาม
เจี่ยงหลานรู้สึกโกรธมาก จนทุบหน้าอกตัวเองแล้วพูดว่า “ลูกจะให้แม่เชื่อในตัวลูกได้ยังไง ในเมื่อคนในตระกูลซูยังสิ้นหวัง แล้วอะไรคือเหตุผลที่ลูกคิดว่าลูกจะทำมันได้?”
นั่นสิเหตุผลอะไรกันล่ะ?
ซูหยิงเซี่ยไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไม แต่ที่เธอตอบตกลงทำงานนี้ เป็นเพราะข้อความนั้นจากหานซานเฉียน
เมื่อหานซานเฉียนกลับถึงบ้าน เขาเดินไปหาซูหยิงเซี่ยและพูดกับแม่ของเธอว่า “คุณแม่ควรเชื่อเธอนะครับ ผมเชื่อว่าหยิงเซี่ยจะต้องทำได้แน่นอน”
หานซานเฉียนนอนอยู่ที่ข้างล่าง เขาพูดกับซูหยิงเซี่ยว่า “เจ้าของบริษัทลั่วเฉวเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม”
“อ้อ” ซูหยิงเซี่ยตอบง่าย ๆ และไม่ได้ถามอะไรต่อ
ห้องเงียบมากจนอาจจะได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา ตลอดสามปีที่ผ่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
แต่วันนี้ซูหยิงเซี่ยรู้สึกแปลก โดยเฉพาะตอนที่หานซานเฉียนจับข้อมือแม่ของเธอในตอนนั้น ซูหยิงเซี่ยไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของเขาเลย
“คราวหน้าไม่ต้องไปรอฉันที่หน้าบริษัทแล้ว” ซูหยิงเซี่ยพูดขึ้น
หานซานเฉียนแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดว่าซูหยิงเซี่ยจะรู้เรื่องนี้
“ได้”
ซูหยิงเซี่ยหันหลังให้หานซานเฉียน เธอกัดริมฝีปากแน่น และหัวใจของเธอก็รู้สึกเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอคิดเสมอว่าเธอต้องการจะหย่ากับหานซานเฉียนเพื่อจะได้เป็นอิสระ แต่พอเมื่อวานนี้เเม่ของเธอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอถึงได้รู้ว่าเธอทำไม่ได้
ผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าเขาจะไร้ค่าหรือไร้ประโยชน์เพียงใด เขาก็อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดสามปี
ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาต่ำต้อยแค่ไหน ไม่ว่าทัศนคติของเขาจะเย็นชาเพียงใด แต่เขาก็ยิ้มอย่างสดใสต่อหน้าเธอเสมอ
หัวใจของมนุษย์ทำมาจากเลือดเนื้อ และหัวใจของซูหยิงเซี่ยไม่ได้เป็นเหล็ก ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอเคยชินกับการที่มีเขาอยู่ข้าง ๆ ไปแล้ว
“มารอรับฉันที่หน้าประตูบริษัทแทน”
หานซานเฉียนรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เขามองดูแผ่นหลังของซูหยิงเซี่ยที่นอนตะแคงอยู่ สีหน้าที่ตกตะลึงของเขาค่อย ๆ เต็มไปด้วยความสุข
ซูหยิงเซี่ยไม่เห็นสีหน้าของหานซานเฉียน และไม่ได้ยินคำตอบของเขา เธอจึงคิดว่าเขาไม่เต็มใจ เธอเลยพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ถ้านายไม่เต็มใจก็ลืมมันซะ”
หานซานเฉียนลุกขึ้นนั่งและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เต็มใจ...เต็มใจ ผมเต็มใจ”
ซูหยิงเซี่ยสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของหานซานเฉียน น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาราวกับไข่มุก แท้ที่จริงแล้วเธอไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
“สามปีมานี้ ฉันขอโทษนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยฟ้าประทาน