ลูกเขยมังกร นิยาย บท 359

บทที่ 359 ไม่มีตำรวจ

ทั้งคู่ไม่แยแสอะไรกับเฉินเฟิงและสือโพ่จุน แต่ลูกน้องของทั้งคู่กลับสนใจเฉินเฟิงและสือโพ่จุนมาก

ไม่นานก็มีชายหนุ่มร่างกำยำสูงราวร้อยแปดสิบเซนต์คนหนึ่งถือขวดเหล้าเดินเข้ามายืนหน้าเฉินเฟิง

“มาทำอะไรหา?!” ชายหนุ่มมองเฉินเฟิง ถามเสียงดัง

เฉินเฟิงไม่สนใจเขา และเดินไปทางหลินหวั่นชีวที่เซียวรั่วปกป้องไว้ด้านหลัง

“เห! ฉันถามแกอยู่นะ หูหนวกหรือไง?!”

เห็นเฉินเฟิงไม่สนใจเขา ชายหนุ่มก็เลือดขึ้นหน้า ยกมือขึ้นจะจับบ่าเฉินเฟิงไว้

แต่เขาพึ่งก้าวเท้าออก ท้ายทอยก็โดนจับไว้ สุดท้ายทั้งตัวโดนดึงไว้

สือโพ่จุนจับท้ายทอยเขาเหมือนจับคอไก่โยนทิ้งเบาๆ ชายหนุ่มโดนโยนไปชนโต๊ะเหล้าที่อยู่ห่างไปราวสี่ห้าเมตร

“ปึ้ง” ดังขึ้น

ชายหนุ่มโดนโยนกระแทกบนโต๊ะ หลังจากเสียงเพล้งเพล้งดังขึ้น สภาพโต๊ะไม่มีชิ้นดี ชายหนุ่มก็เจ็บจนลุกไม่ขึ้น

คนอื่นในห้องวีไอพีสูดลมหายใจซี๊ดเข้าปอด คุณอาคนนี้เป็นคนหรือผีเนี่ย ทำไมแรงเยอะขนาดนี้?

อู่จื้อเคอหรี่ตามอง ใช้มือเดียวยกชายหนุ่มที่หนักเก้าสิบกว่ากิโล เขาก็ทำได้ แต่เขาทำแล้วดูง่ายๆแบบสือโพ่จุนไม่ได้

เซียวรั่วไม่รู้ว่าการที่สือโพ่จุนทำแบบนี้แปลว่าอะไร พอเห็นเฉินเฟิงมา เธอแอบกระซิบถามว่า: “ตำรวจล่ะ?”

“ไม่มีตำรวจ” เฉินเฟิงส่ายหัว พวกลูกคุณหนูที่กล้าลักพาคนกลางวันแสกๆแบบนี้ เรียกตำรวจไม่มีประโยชน์ จับไปอย่างมากก็ทำตามธรรมเนียมนิดหน่อย สู้เขาลงมือไม่ได้

“ไม่มีตำรวจ?!” ได้ยินเฉินเฟิงบอกไม่ได้เรียกตำรวจมา เซียวรั่วร้อนรนขึ้นมาทันที ไม่เรียกตำรวจมาแล้วนายมาทำไมเนี่ย?

ลุยเดี่ยวมาเอาคนคืนหรอ?

นายจะเอาอะไรมาสู้กับหลิวคุนและอู่จื้อเคอ?

เอาแค่ชายหนุ่มเจ็ดแปดคนในห้องวีไอพีนี้ก็ทำเฉินเฟิงคางเหลืองได้แล้ว ยังไม่นับการ์ดของคลับอีก

ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น พ่อของอู่จื้อเคออาจจะออกโรงก็ได้

ถึงเวลานั้น เฉินเฟิงจะเอาอะไรมาสู้?!

ทำไมโง่แบบนี้นะ?! เซียวรั่วอดโมโหไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าเฉินเฟิงที่เธอฝากความหวังทั้งหมดไว้จะโง่ขนาดนี้!

“ทำไมนายไม่เรียกตำรวจมาด้วย? นายรู้ไหมว่าหลิวคุนกับอู่จื้อเคอน่ะทำอะไรหา?!”

“ไม่ได้เรียกตำรวจมา อย่าว่าแต่ช่วยหวั่นชีวเลย นายเองก็ไม่รอด!” เซียวรั่วโกรธแทบบ้าแล้ว

ถ้าตอนแรกเฉินเฟิงมาพูดเกลี้ยกล่อมหลิวคุนกับอู่จื้อเคอดีๆ บางทีอาจยังพอมีหวัง แต่นี่เฉินเฟิงเล่นถีบกระแทกประตูกระเด็นเลย

เล่นหักหน้าหลิวคุนแบบนี้ คราวนี้หลิวคุนจะยอมละเว้นเขาหรือไง?

“ผมอยากไป ไม่มีใครกล้าขวางหรอก” น้ำเสียงเฉินเฟิงเรียบเฉยเหมือนปกติ ตอนเข้ามาเขาเห็นว่า เจ้าของงานวันนี้คือชายหนุ่มที่นั่งจิบไวน์และชายหนุ่มหน้าดำทะมึนนั่น

ทั้งการแต่งตัวและออร่าของทั้งคู่ไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่คำว่าไม่ธรรมดานี้มีผลกับนักเรียนอย่างเซียวรั่วเท่านั้น

ต่อหน้าเฉินเฟิง ทั้งคู่ยังห่างชั้นนัก!

“คุณ...”

“มันน่าโมโหนัก!” เซียวรั่วโกรธกระทืบเท้า ตอนนี้เธอเสียใจที่เอาโอกาสเดียวในการโทรขอความช่วยเหลือไปโทรหาเฉินเฟิง ตอนแรกเธอควรโทรแจ้งความเอง ไม่ใช่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวเฉินเฟิง

“คุณอาฝีมือไม่เลวเลยนี่ ลองสู้กันหน่อยไหม?” คราวนี้อู่จื้อเคอยิ้มฮี่ๆเดินมายืนหน้าสือโพ่จุน

ท่าสือโพ่จุนเมื่อกี้สะกดชายหนุ่มคนอื่นในห้องนี้ไว้หมดแล้ว ดังนั้นพี่ใหญ่อย่างเขาเลยต้องออกหน้าแทน

สือโพ่จุนเหล่อู่จื้อเคอ แต่ไม่พูดอะไร ซึ่งแววตาดูถูกนั่นไม่ปิดบังเลยสักนิด

ให้แปลออกมาคือ นายไม่คู่ควร

อู่จื้อเคอสีหน้าเย็นชาฉับพลัน: “คุณอา อานี่กล้ามากเลยนะ”

“กล้า?” สือโพ่จุนหันมายิ้มหยันให้อีก เขามองอู่จื้อเคอพลางว่า: “เด็กน้อย นายรู้จักว่าอะไรเรียกกล้าไหม?”

อู่จื้อเคอแค่นเสียงหึ: “ไม่รู้ครับ ถ้าอารู้ ก็อธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ”

“ได้” สือโพ่จุนหัวเราะ “ผมจะอธิบายให้นายฟัง จะได้เพิ่มความรู้หน่อย”

“สำหรับผม คนที่ควรค่าแก่คำว่ากล้าน่ะมีแค่คนชนิดเดียว พวกเขาปกติไม่คุยโวโอ้อวด ทำตัวเหมือนคนธรรมดา เดินเข้าไปกลมกลืนอยู่ในฝูงคนธรรมดาได้สบาย”

“แต่เมื่อประเทศชาติต้องการ พวกเขาจะยืดอก พุ่งตัวไปชายแดนสู้รบศัตรูผู้รุกรานทันที ใช้ความสามารถที่มีในมือต่อสู้พิทักษ์ประเทศชาติ”

“พวกเขาป้องกันศัตรูภายนอกที่มารุกราน พวกเขาเสียเลือดเสียเนื้อในดินแดนของศัตรู ปืนในมือพวกเขามีไว้ฆ่าศัตรู ไม่เคยหันมาที่พวกเดียวกันเลย”

“คนชนิดนี้ในสายตาผมถึงคู่ควรกับคำว่ากล้า!”

พอสือโพ่จุนพูดจบ ทั้งห้องก็เงียบกริบ บางคนยังรู้สึกซาบซึ้งฮึกเหินตามด้วยซ้ำ

อู่จื้อเคอกลับหน้าแดงก่ำ สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ไม่ต้องสงสัยเลย สือโพ่จุนพูดออกมาแบบนี้เพื่อประชดเขา สือโพ่จุนมองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อน

“เหอะๆ ขยะแบบนายที่รังแกผู้หญิงกลางวันแสกๆ มุดหัวอยู่ในกะลาของตัวเองเนี่ยยังรู้จักอายอีกหรือไง?” เห็นอู่จื้อเคอหน้าแดงเหมือนก้นลิงแล้ว สือโพ่จุนอดแค่นเสียงหัวเราะไม่ได้

“แกหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”

อู่จื้อเคอตาแดงก่ำ หน้าอกพองลง เห็นได้ชัดว่าโกรธถึงขีดสุด

“หุบปาก? ถ้าผมไม่หุบล่ะ?” สือโพ่จุนหรี่ตาลง รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจากร่างเขา เขาเป็นจอมยุทธ์ แถมยังเป็นคนของสหพันธ์สงคราม ดังนั้นในสถานการณ์ปกติแล้วเขาจะไม่ลงมือกับคนธรรมดา ปกติไม่ลงมือไม่ได้แปลว่าลงมือไม่ได้!

อู่จื้อเคอท้าทายเขาแบบนี้ ถ้าเขาจะตอบโต้จริง คนอื่นก็ไม่กล้าว่าอะไร

“อ๊า!”

อู่จื้อเคอคำรามอย่างโกรธจัด และทำท่าออกหมัด

ตอนนี้เองหลิวคุนกลับเดินออกมาหยุดหมัดของอู่จื้อเคอไว้แผ่วเบา พูดเสียงต่ำว่า: “จื้อเคอ มีมารยาทกับคุณอาหน่อย”

“พี่คุน!” อู่จื้อเคอมองหน้าหลิวคุนอย่างไม่เข้าใจ แต่พอสบตาที่เคร่งเครียดและถะลึงใส่เขาเป็นเชิงเตือนของหลิวคุน อู่จื้อเคอก็กระตุกฉับพลัน ดึงหมัดกลับทันที หันไปขอโทษเสียงต่ำว่า: “คุณอา ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมวู่วามไปหน่อย”

สือโพ่จุนไม่ได้สนใจอู่จื้อเคอ แต่เหล่หลิวคุนหนึ่งที พลางแค่นเสียงหึ การตักเตือนชัดในความหมาย

เห็นได้ชัดว่า หลิวคุนดูออกว่าฐานะเขาไม่ธรรมดา เลยห้ามปรามอู่จื้อเคอก่อนจะออกหมัดได้ ถ้าเขาไม่ห้าม ตอนนี้อู่จื้อเคอคงพิการไปแล้ว

“เพื่อนคนนี้ จะให้เรียกว่าไงดีเนี่ย?” หลิวคุนยิ้มเดินมายืนหน้าเฉินเฟิง

ก่อนสือโพ่จุนจะลงมือ เขามองสือโพ่จุนไม่ออกเลย แต่ตอนสือโพ่จุนจะลงมือเมื่อกี้ เขาสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลได้ รังสีบนตัวสือโพ่จุน คล้ายคลึงกับจอมยุทธในตำนาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร