ลูกเขยมังกร นิยาย บท 374

บทที่ 374 วังโฉงหยาง

“เอาล่ะ เลิกพูดกันได้แล้ว ทานกันเถอะ” หวางหงอี้เอ่ยเสียงแข็ง เพิ้งเย้นฟางหาเรื่องเอง โทษใครไม่ได้หรอก

“ไม่กินแล้ว จะกินอะไรอีกล่ะ!”

“ปึ้ก”

เพิ้งเย้นฟางตบโต๊ะเสียงดัง เธอลุกขึ้นพรวดและหมุนตัวเดินจากไป

“เขาไม่กิน พวกเรากินกัน” หวางหงอี้ส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่สนใจ

แต่สายตากลับเบนไปทางเฉินเฟิง เดิมเขาคิดว่าตัวประเมินเฉินเฟิงสูงมากแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะประเมินต่ำเกินไป

ลูกเขยแต่งเข้าบ้านเมียที่มาจากชางโจว ไม่ง่ายเลยจริงๆแฮะ

ไม่เพียงใช้ความสามารถตัวเองคุยออเดอร์มาได้ ยังทำให้หลี่สื้อผิงจำใจเข้าข้างเขาอีก นี่ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะทำได้เลยนะ

พอเพิ้งเย้นฟางไป หวางซือหยวนก็ไม่มีอารมณ์กินแล้ว เธอจำใจกินไปสองคำและลุกจากโต๊ะอาหารไป

หลี่สื้อผิงก็ลุกตามไปติดๆโดยอ้างว่ามีงานเข้า

งานเลี้ยงฉลองดีๆเลยจบลงแบบนี้ โต๊ะอาหารใหญ่เหลือแต่เฉินเฟิงและหวางหงอี้ แต่ทั้งคู่กลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

อาจเพราะอารมณ์ดี วันนี้หวางหงอี้เลยดื่มไปหลายแก้ว พอเริ่มกึ่มๆ สีหน้าหวางหงอี้แดงเรื่อเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเริ่มเมาได้ที่

พอเมาได้ที่ หวางหงอี้ก็อดรำลึกถึงความหลังไม่ได้ เขาเล่าเรื่องราวที่เขากับเสี้ยเว่ยกั๋วมาบุกเบิกกันที่จงไห่

เฉินเฟิงนั่นฟังเงียบๆ เขาคอยยิ้มรับเออออบ้างเป็นระยะ

เห็นได้เลยว่า หวางหงอี้ดูคิดถึงช่วงเวลาในตอนนั้นมาก เขาเองเห็นเสี้ยเว่ยกั๋วเป็นเพื่อนตายจริงๆ

พอคิดถึงตรงนี้ เฉินเฟิงอดคิดถึงขาที่โดนตีหักของเสี้ยเว่ยกั๋วขึ้นมาไม่ได้

ตามที่เสี้ยเว่ยกั๋วบอก ขาข้างนั้นของเขาโดนจับหักขา แต่ใครเป็นคนทำ ตัวเสี้ยเว่ยกั๋วเองกลับไม่ยอมพูดมาโดยตลอด

เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายแกร่งมาก และแกร่งจนเสี้ยเว่ยกั๋วไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึง

“คุณอาหวาง ผมถามคุณอาซักคำถามได้ไหม?” หลังจากเงียบอยู่นาน เฉินเฟิงตัดสินใจถามหวางหงอี้

“เราอยากถามว่าขาพ่อนายโดนใครหักขาใช่ไหม?” หวางหงอี้ชะงักไปหน่อย คล้ายกับเดาได้แต่แรกว่าเฉินเฟิงจะถามคำถามนี้

“ครับ” เฉินเฟิงพยักหน้า

เห็นเฉินเฟิงยอมรับ หวางหงอี้แววตาเริ่มลังเล จนเวลาผ่านไปสักพักเขาถึงเงยหน้าขึ้นมามองเฉินเฟิง ถอนหายใจพลางว่า: “เสี่ยวเฟิง ถ้าอาบอกว่าขาพ่อเราอาเป็นคนหักเอง เราจะเชื่อไหม?”

เฉินเฟิงชะงักกึก หวางหงอี้เป็นคนหัก?!

เป็นไปได้ยังไงกัน?!

“ดูไม่น่าเชื่อล่ะสิ?” หวางหงอี้ยิ้มเศร้า

“ยากที่จะเชื่อได้จริงๆครับ” หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก เฉินเฟิงพูดขึ้น: “คุณอาหวางทำไมถึงหักขาพ่อผมล่ะ มันน่าจะมีเหตุผลอะไรใช่ไหม?”

“เฮ้อ...”

หวางหงอี้ถอนหายใจยาวออกมาอีก “เรื่องมันผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เหตุผลยังสำคัญอีกหรือไง?”

“สำคัญครับ!” เฉินเฟิงพูดเน้น: “ผมจำเป็นต้องรู้ว่าขาพ่อผมตอนนั้นหักได้ยังไงกัน”

“เฮ้อ ในเมื่อเราอยากรู้ งั้นวันนี้อาจะบอกละกัน”

“ขาพ่อเราน่ะ อาเป็นคนหักจริงๆ แต่อาเองก็ไม่มีทางเลือก ถ้าอาไม่ทำอย่างนั้น พ่อเธอคงอยู่ไม่รอดมาจนถึงวันนี้หรอก” หวางหงอี้บอก

“มีคนบังคับพวกอา?” สายตาเฉินเฟิงวาบประกายเย็นชาขึ้นวูบหนึ่ง

“อืม” หวางหงอี้พยักหน้า

“ใครกัน?”

“วังตุงหยาง” หวางหงอี้พูดออกมาสามคำ

เฉินเฟิงขมวดคิ้ว วังตุงหยาง...ใครกัน?

“ชื่อวังตุงหยางเราอาจจะไม่เคยได้ยิน”

“แต่ชื่อปู่เขา เราต้องเคยได้ยินแน่” หวางหงอี้ถอนหายใจพลางว่า

เฉินเฟิงคิ้วกระตุก แซ่วัง แถมรู้จักกันทั่ว คงจะเป็น...

“วังโฉงหยาง!” เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นอย่างไว อดสูดลมหายใจซี๊ดเข้าปอดไม่ได้ เสี้ยเว่ยกั๋วกับหวางหงอี้ทำไมถึงไปหาเรื่องคนแบบนี้ได้?!

เหมือนจะรู้ว่าเฉินเฟิงคิดอะไรอยู่ หวางหงอี้ถอนหายใจยาวอีก: “ ที่จริงฉันกับเหล่าเสี้ยไม่ได้อยากหรอก แต่ตอนนั้นพวกเราทำธุรกิจทางทะเล ยังไงก็ต้องเจอบ้านวังอยู่ดี”

เฉินเฟิงพยักหน้า บ้านวังเป็นเจ้าครองทะเลมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หวาเซี่ยมีบริษัทชิปปิ้งเรือกว่าครึ่ง ล้วนเป็นเครือของบ้านวังทั้งนั้น

นอกจากเรือชิปปิ้งแล้ว ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของหวาเซี่ย บ้านวังก็มีส่วนเอี่ยวด้วย เรียกได้ว่า ธุรกิจอะไรก็ตามที่เกี่ยวพันกับทะเล หนีบ้านวังไม่พ้นหรอก

หวางหงอี้กับเสี้ยเว่ยกั๋วตอนนั้นน่าจะทำธุรกิจการค้าทางทะเล และธุรกิจทางทะเลเป็นธุรกิจแต่ดั้งเดิมของบ้านวังอยู่แล้ว คนปกติอยากมีส่วนเอี่ยวด้วยต้องถามความเห็นบ้านวังก่อนเสมอ

“ตอนนั้นอากับเหล่าเสี้ยพึ่งมาจงไห่ ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่เท่าไหร่ พอได้ยินว่าธุรกิจทางทะเลทำได้ง่าย อากับเหล่าเสี้ยเลยซื้อเรือมาลำหนึ่งกะจะทำเป็นชิปปิ้ง”

“สุดท้ายวิ่งไปได้สองรอบ เรือพวกเราก็โดนเผา”

“เหตุผลเพราะก่อนพวกเราวิ่งเรือ ไม่ได้ไปสอบถามบ้านวังก่อน”

“พอได้ยินคำนี้ อากับเหล่าเสี้ยโกรธมาก พวกเราหนุ่มน้อยสองคนก็ไม่ได้สืบค้นให้ดีก่อนว่า ในจงไห่บ้านวังหมายถึงอะไร ก็เลยโดนพวกที่เผาเรือซ้อมซะแทบตายเลย”

“วันต่อมา วังตุงหยางก็ปรากฏตัว บอกว่าเมื่อวานคนที่พวกเราต่อสู้ด้วยมีคนหนึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเขา”

“ตอนนั้นวังตุงหยางให้ทางเลือกพวกเราสองทาง ระหว่างคุกเข่าขอขมาและหักขาสองข้าง หรือไม่ก็ ตาย!”

เฉินเฟิงหรี่ตามอง จากคำพูดของหวางหงอี้รู้ได้ไม่ยากเลยว่า วังตุงหยางตอนนั้นใหญ่แค่ไหน หวางหงอี้กับเสี้ยเว่ยกั๋วแค่ทำลูกพี่ลูกน้องเขาเจ็บเท่านั้น วังตุงหยางก็ให้พวกเขาคุกเข่าขอขมาแถมยังต้องหักขาสองบ้างอีก นี่ยังอยู่ภายใต้สถานการ์ที่ลูกพี่ลูกน้องวังตุงหยางทำผิดก่อนด้วยการเผาเรือพวกเราด้วย

“ตอนวังตุงหยางพูดแบบนี้ออกมา อารู้ทันทีว่า อากับเหล่าเสี้ยไม่มีทางเลือก”

“ถ้าไม่คุกเข่า พวกเราคงไม่มีทางเจอพระอาทิตย์ในวันต่อมาแน่”

“สุดท้าย อาคุกเข่าลง”

“แต่เหล่าเสี้ยไม่ยอม ตอนนั้นเขาหัวแข็งมากเกินไป ต่อให้โดนวังตุงหยางหยิบปืนจ่อหัวอยู่ เขาก็ไม่ยอม...” พอพูดมาถึงตรงนี้ หวางหงอี้ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาถอนหายใจหนักหน่วงออกมา และพูดขึ้นว่า: “สุดท้าย อาเลยลงมือเอง หักขาเหล่าเสี้ย และก็กดหัวเขาให้คำนับวังตุงหยางสามครั้ง ถึงพอจะบรรเทาความโกรธของเขาลงได้”

“พอวังตุงหยางไป เหล่าเสี้ยก็หมดกำลังใจและไปจากจงไห่”

“หลังจากนั้นไม่นานอาก็ได้ยินข่าวเหล่าเสี้ยแต่งงาน”

หวางหงอี้ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เฉินเฟิงก็พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

เสี้ยเว่ยกั๋วที่เดิมมีความฝันอันยิ่งใหญ่แน่นอก พอโดนวังตุงหยางหยามเข้าให้ ก็หมดอาลัยตายอยากทันที

เขากลับมาบ้านแต่งงานมีลูก ใช้ชีวิตอย่างคนปกติต่อไป

ส่วนหวางหงอี้ยังไม่หมดกำลังใจ กลับยิ่งฮึกเหิม ในเวลาแค่ยี่สิบกว่าปีก็พยายามทำธุรกิจขึ้นมาใหม่

ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตไปกันคนละเส้นทาง

เฉินเฟิงเข้าใจในที่สุดว่า ทำไมหวางหงอี้ถึงดีกับเขาแบบนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร