ลูกเขยมังกร นิยาย บท 392

บทที่ 392 เถ้าแก่จิวเวอร์รี่

ข่าวนี้ทำให้นักศึกษามากมายสูดลมหายใจเข้าปอดดังเฮือกไปตามๆกัน

ฐานะของไป๋เสี้ยวเทียน คนต่างถิ่นอาจะไม่รู้ แต่สำหรับคนจงไห่แล้วเรียกได้ว่าสะดุ้งเหมือนฟ้าผ่ามาบรรยายได้เลย

ยุค90 ตระกูลอันดับแรกที่สามารถสานสัมพันธ์กับตระกูลโห้ ณ เกาะก๊างได้ เถ้าแก่จิวเวอร์รี่ใหญ่มหึมานั่น ร้านจิวเวอร์นี่ของจงไห่ มีประมาณหนึ่งในสามเป็นกิจการของไป๋เสี้ยวเทียน

มูลค่าทรัพย์สินของไป๋เสี้ยวเทียนมีมากแค่ไหน คนนอกไม่รู้ แต่ถ้าให้ประมาณการ อย่างน้อยต้องมีห้าหมื่นล้านล่ะ และมีแต่คนรวยแบบนี้เท่านั้นที่สามารถบริจาคเงินจนสร้างห้องสมุดมูลค่าเกือบร้อยล้านได้

“ไอ้ขยะ แกหงอแล้วหรอ?! ไม่กล้าขึ้นมาล่ะสิ?!” ไป๋เหวินซั่วยังท้าต่อ พอเห็นด้านล่างเวทีไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาหลุดหัวเราะว่า: “ไม่กล้าก็ไม่เป็นไร นับแต่วันนี้เป็นต้นไป แกห้ามเรียกว่าตัวเองเป็นแฟนของหวั่นชีวอีก”

“หวั่นชีว ยกให้ฉันดูแลละกัน”

“ไป๋เหวินซั่ว!” หลินหวั่นชีวประกายตาโกรธขึ้ง เธอเตรียมจะตบหน้าเขาสักฉาด แต่โดนเซียวรั่วรั้งไว้แน่น

“หวั่นชีว ใจเย็นๆ ไป๋เหวินซั่วน่ะแบ็คหนามากนะ ถ้าเธอกล้าตบเขา เขาไม่ปล่อยเธอไว้แน่” เซียวรั่วเตือนอย่างร้อนใจ ไป๋เหวินซั่วน่ะหนักกว่าหลิวคุนกับอู่จื้อเคอซะอีก ถ้าทำไป๋เหวินซั่วโกรธ แล้วเขาไม่ไว้หน้าอีก งานนี้หลินหวั่นชีวหนีไม่รอดแน่

การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝันนี้ทำให้คณาจารย์ของมหาลัยเริ่มลำบากใจ

ถ้าเป็นนักศึกษาคนอื่น กล้าทำเรื่องแบบนี้บนเวที ไม่ต้องพูดถึงไล่ลงเวทีเลย ตอนนี้คงถูกไล่ออกไปแล้วแน่ๆ

แต่นี่ดันเป็นไป๋เหวินซั่ว เป็นไป๋เหวินซั่วที่มีพ่อเป็นเจ้าจองจิลเวอร์รี่ใหญ่ ทำให้คณาจารย์ลำบากใจกันมาก

“อธิการบดีเหอ หรือให้ไป๋เหวินซั่วลงมาดี?” หัวหน้าฝ่ายหันมาเลียบเคียงถาม เรื่องเกี่ยวเนื่องกับไป๋เหวินซั่ว หัวหน้าฝ่ายตัวเล็กๆอย่างเขา ตัดสินใจไม่ได้อยู่แล้ว ต้องถามจากอธิการบดีมหาลัยเนี่ยแหละ

“เอ่อ...” อธิการบดีเหอมีสีหน้าลำบากใจ เห็นได้ชัดว่าไป๋เหวินซั่วมีความแค้นกับนายเฉินเฟิงอะไรนั่น ตอนนี้ไล่ไป๋เหวินซั่วลงไป ไม่ต่างอะไรกับหักหน้าไป๋เหวินซั่ว ต้องทำให้ไป๋เหวินซั่วโกรธแค้นเขาแน่

“เลขาธิการหยาง ประธานจู คุณสองคนคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการยังไง?” อธิการบดีเหอเบนสายตาไปที่หยางเจี้ยนโสงและจูชิ่งเฟิงที่อยู่ข้างๆ สองคนนี้พอสนิทสนมกับไป๋เสี้ยวเทียนอยู่บ้าง และพอมีปากมีเสียงต่อหน้าไป๋เสี้ยวเทียนอยู่บ้าง ให้สองคนนี้ตัดสินใจ ต่อให้ไป๋เหวินซั่วไม่พอใจอยู่บ้าง ก็คงจะไม่ว่าอะไร

หยางเจี้ยนโสงกับจูชิ่งเฟิงสบตากันหนึ่งที ต่างพากันส่ายหัวเบาๆอย่างไม่ได้นัดหมาย

“แค่กๆ อธิการบดีเหอ ผมคิดว่าเรื่องนี้มันไม่หนักหนาอะไร คนหนุ่มสาวอารมณ์ร้อนมันเรื่องธรรมดา พวกเราก็เคยผ่านมากันทั้งนั้น น่าจะเข้าใจได้นะครับ” หยางเจี้ยนโสงมีประสบการณ์ด้านสังคมสูงมาก พูดออกมาทีไม่มีช่องโหว่อะไรเลย ถึงจะไม่ได้บอกตามตรงว่าควรจัดการเรื่องยังไง แต่ก็แอบแฝงคำสามคำไว้ในนั้นว่า ไม่ต้องยุ่ง

“จริงๆเหวินซั่วน่ะเป็นเด็กว่าง่ายนะ ผมไม่เคยเจอเขาเสียมารยาทมาก่อนเลย วันนี้ที่เขาเป็นแบบนี้ อาจจะเจอรักแท้เข้าแล้วก็ได้ พวกเราคงไม่ช่วยเป็นสะพานให้เขา แต่ก็ไม่ควรขัดขวางนะ” เทียบกับหยางเจี้ยนโสงแล้ว ท่าทีจูชิ่งเฟิงกลับยิ่งชัดกว่า ออกตัวว่าอยู่ข้างไป๋เหวินซั่วเลย

สำหรับนักธุรกิจแล้ว ผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่ง ไป๋เสี้ยวเทียนรักและตามใจไป๋เหวินซั่วจะตาย วันนี้ถ้าไป๋เสี้ยวเทียนอยู่ที่นี่ด้วย ก็คงจะเข้าข้างไป๋เหวินซั่วอย่างไม่ลังเลเลย

ตอนนี้เขาเข้าข้างไป๋เหวินซั่ว เท่ากับยืนข้างไป๋เสี้ยวเทียน มีน้ำใจในครั้งนี้ ต่อไปจะร่วมงานกับไป๋เสี้ยวเทียนก็จะได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น

พอทั้งสองคนพูดมาแบบนี้ ทำให้อธิการบดีเหอใจชื้นขึ้น

มีสองคนนี้อยู่ ไม่ว่าไป๋เหวินซั่วจะก่อเรื่องใหญ่แค่ไหน ก็มีคนจัดการได้

“งั้นคุณหนูฉู่ล่ะครับ? คุณหนูฉู่คิดว่าเรื่องในวันนี้ควรจัดการยังไง?” สุดท้ายอธิการบดีเหอเบนสายตาไปทางหญิงสาวที่ใส่หน้ากากผ้าเอาไว้ หญิงสาวคนนี้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหยางเจี้ยนโสงกับจูชิ่งเฟิง ซึ่งเป็นที่นั่งที่ดีที่สุดของงาน

สามารถนั่งที่นั่งตรงนี้ได้ ฐานะของหญิงสาวใส่หน้ากากผ้าคนนี้ไม่ต้องพูดเลย อย่างน้อยก็ต้องสูงส่งกว่าหยางเจี้ยนโสงและจูชิ่งเฟิงแน่นอน

ที่อธิการบดีเหอหันมาถามหญิงสาวคนนี้เป็นคนสุดท้าย แฝงแววให้เธอตัดสินใจเรื่องด้วย

ถ้าความคิดเธอไปทางเดียวกับหยางเจี้ยนโสงและจูชิ่งเฟิง งั้นเรื่องนี้ก็คงต้องเป็นแบบนี้

ไป๋เหวินซั่วอยากก่อเรื่องแค่ไหนก็ทำไป ต่อให้ทำงานพัง ก็มีคนรับผิดชอบอยู่ดี

ถ้าหญิงสาวใส่หน้ากากผ้าส่ายหน้า งั้นไม่ต้องพูดเลย ต่อให้วันนี้ตัวไป๋เสี้ยวเทียนมายืนตรงนี้ด้วยตัวเอง ไป๋เหวินซั่วก็ต้องอัปเปหิตัวเองลงจากเวที

หญิงสาวใส่หน้ากากผ้าไม่ได้สนใจอธิการบดีเหอ วินาทีนี้สายตางามของเธอพุ่งตรงไปที่ชายหนุ่มที่พึ่งขึ้นเวที

“คุณหนูฉู่?” อธิการบดีเหอเริ่มกระอักกระอ่วนจนต้องเรียกอีกครั้ง

“หา?” หญิงสาวใส่หน้ากากผ้าถึงได้สติกลับมา เมื่อกี้ตัวเองใจลอยไปหน่อย เธอถอดหน้ากากผ้าสีดำลง ใบหน้างามแดงเรื่ออย่างขัดเขิน

“ขอโทษนะคะ อธิการบดีเหอ เมื่อกี้ฉันกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เลยไม่ได้ยินว่าคุณพูดอะไร คุณช่วยพูดอีกครั้งได้ไหมคะ?” พอได้ยินหญิงสาวใส่หน้ากากผ้าอธิบาย อธิการบดีเหอก็ถอนหายใจโล่งอก เขายังนึกว่าหญิงสาวไม่ชอบหน้าเขาซะอีก

“คุณหนูฉู่ เมื่อกี้ผมพึ่งถามคุณว่า คุณคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ จะไล่ไป๋เหวินซั่วลงจากเวทีไหม?”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ให้เขาอยู่บนเวทีต่อไปแหละ” เธอส่ายหัว สายตางามนั่นเผยแววซุกซนขึ้นวูบหนึ่ง ถ้าคนที่ไป๋เหวินซั่วหาเรื่องเป็นคนอื่น บางทีเธออาจจะให้ไป๋เหวินซั่วลงจากเวที แต่คนที่ไป๋เหวินซั่วกำลังหาเรื่อง กลับเป็นเฉินเฟิง

หาเรื่องแท้ๆ

ไม่ต้องสงสัยเลย ไป๋เหวินซั่วกำลังหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ

ถึงนี่จะเป็นแค่ครั้งที่สองที่ฉู่ชีงฉือเจอเฉินเฟิง แต่ฉู่ชีงฉือก็รู้สึกเชื่อใจในตัวเฉินเฟิงอย่างประหลาด

โดยเฉพาะหลังจากที่เฉินเฟิงขึ้นเวทีแล้ว ท่าทางสบายๆนั่นยิ่งทำให้ฉู่ชีงฉือรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

หญิงสาวใส่หน้ากากผ้าคือฉู่ชีงฉือน่ะเอง แขกรับเชิญปริศนาที่ทางมหาลัยจงไห่เชิญมาร่วมงานวันเกิดครบร้อยปี

“นี่แกกล้าขึ้นมา?!” ไป๋เหวินซั่วสีหน้าประหลาดใจ เขายังนึกว่า คนกระจอกที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนอย่างเฉินเฟิง พอเจอสถานการณ์แบบนี้ น่าจะขี้ขลาดไม่กล้าขึ้นเวที แต่ไม่คิดว่าเฉินเฟิงจะขึ้นมาจริงๆ

“นายไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าขำหรอ?” เฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองไป๋เหวินซั่วเนิบๆ

การกระทำของไป๋เหวินซั่วนี้ปัญญาอ่อนจนน่าขำ ถ้าเปลี่ยนสถานที่ เขาคงไม่คิดจะสนใจตัวประหลาดอย่างไป๋เหวินซั่วเลย แต่ไป๋เหวินซั่วกลับเอาหลินหวั่นชีวมาเป็นเดิมพัน ทำให้เขานิ่งเฉยต่อไปไม่ได้

“น่าขำ?” ไป๋เหวินซั่วหลุดหัวเราะ ทำสีหน้าเย่อหยิ่งใส่: “ขยะที่ขับรถซานตาน่ามือสองอย่างนายมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าฉันน่าขำหะ?”

“ฉันจะเตือนนายว่าให้ทำตัวดีหน่อย รีบไปจากหวั่นชีวซะ หวั่นชีวไม่ใช่ผู้หญิงที่คางคกอย่างนายอยากกินเนื้อหงส์ได้หรอก” ไป๋เหวินซั่วพูดอย่างคนอยู่ที่สูง ในเมื่อเฉินเฟิงกล้าขึ้นมาบนเวที งั้นเขาจะเหยียดหยามเฉินเฟิงเต็มๆสักดอกเลย ให้บทเรียนที่เฉินเฟิงจะจดจำไปชั่วชีวิต

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร