เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงไม่มีการตอบสนองใดๆ เซวี่ยผิงจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“หรือต่อให้ผมปล่อยพวกคุณไป พวกคุณจะไม่โกรธแค้นผมหรือไง ?มหาปรมาจารย์ยอดฝีมือคนหนึ่ง ผมคิดว่าตัวเองคงจะต่อกรไม่ได้หรอกนะ และในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ถึงผมจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย ยังไงก็ต้องเก็บพวกคุณเอาไว้ที่นี่”
สิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผล ต่อให้ชะตากรรมมหาปรมาจารย์จะเป็นเพียงเรื่องที่ถูกกุขึ้นมา แต่ตอนนี้ความแค้นระหว่างเซวี่ยผิงและพวกเขาสองคนได้มาถึงที่สิ้นสุดแล้ว เฉินเฟิงไม่คิดว่าหากชิงจือออกไปได้แล้วจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
“แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลไป เพราะยังไม่ถึงเวลาตายของพวกคุณ”
เฉินเฟิงจ้องเขาเขม็ง ด้วยความไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
เซวี่ยผิงเดินมายังข้างกายของชิงจือ เขาใช้มือลูบไล้ใบหน้าของชิงจืออย่างบ้ากาม พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“เป็นถึงหญิงสาวแสนสวยแต่กลับไปฝึกวิชาต่อสู้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นใจก็ยังคงมีความเปราะบางอยู่วันยังค่ำ ดูแล้วช่างน่ารังแกจริงๆ”
ตอนนี้ชิงจือไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะกัดฟันเลยสักนิด จึงได้เพียงแต่จ้องมองเขาอย่างเย็นชา
“เอ๊ะ คุณอย่ามองผมด้วยสายตาแบบนี้สิ ผมกลัวผู้หญิงที่มองผมด้วยสายตาแบบนี้ที่สุดแล้ว”
ถึงแม้ใบหน้าจะแสดงออกถึงความกลัว แต่เขากลับฟาดฝ่ามือตบหน้าของชิงจืออย่างไม่ไยดีเลย ทำให้บนใบหน้าขาวเผือกของชิงจือถึงกับปรากฏรอยฝ่ามือขึ้นมาทันที พร้อมกับมีเลือดซึมออกมาข้างมุมปากอีกด้วย
“ถือว่าผมไว้หน้าแล้วนะ!ยัยตัวดี” เซวี่ยผิงพูดด่าทอออกมาก่อนที่จะสั่งอีกครั้ง
“เอาพวกเขาสองคนลงไป”
ทันทีที่เขาพูดจบ ด้านข้างก็มีคนเดินเข้ามาพาพวกเขาออกไปจากตรงนั้น
หลังจากนั้นพวกเขาถูกพามายังห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง เฉินเฟิงและชิงจือถูกขังแยกกันเอาไว้ ในนั้นมืดมิด จนสามารถได้ยินเสียงหนูร้อง
และเสียงน้ำหยดที่หยดลงบนพื้นอย่างไม่ขาดสายดังเข้ามาในหู ตอนนี้ราวกับว่าพวกเขากำลังเฝ้ารอความตายเสียอย่างนั้น
“คุณยังไหวอยู่หรือเปล่า?”
เฉินเฟิงเปล่งเสียงอันอ่อนแรงออกมาเพื่อเรียกชิงจือ
“อืม!” ชิงจือส่งเสียงอย่างไร้เรี่ยวแรงออกมา
ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาได้รับยาพิษเข้าไปทำให้สูญเสียพละกำลังไป แต่ถึงอย่างนั้นกลับยังมีสติความรู้สึกอยู่
“ร่างกายของคุณสามารถฟื้นสภาพได้หรือเปล่า?”
เฉินเฟิงถาม ราวกับว่านี่คือความหวังสุดท้ายที่จะทำให้พวกเขาหนีพ้นออกไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก
“ไม่คิดว่าจะทำได้” สุดท้ายคำตอบที่ได้ยิ่งทำให้ใจหดหู่มากขึ้น
แล้วทันใดนั้นคุกใต้ดินก็เงียบสงัด ตอนนี้ทั้งสองต่างสิ้นหวัง ได้เพียงเฝ้ารอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกเขารู้สึกแค่ว่าตอนนี้เวลาช่างเดินเชื่องช้าเหลือเกิน ทั้งยังเสียงน้ำหยดขับกล่อมเป็นท่วงทำนองยิ่งทำให้รู้สึกง่วงนอนมากขึ้นไปอีก
แต่แล้วเฉินเฟิงกลับถูกเสียงฝีเท้าที่กำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้ตื่นขึ้นมา เขาเฝ้ารอดูเจ้าของเสียงฝีเท่านั้น เขาคิดว่าคงจะเป็นเซวี่ยผิงแต่กลับไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนอื่น
“ผมมาช่วยพวกคุณ”
เฉินเฟิงอยากจะแหงนหน้าขึ้นไปดู แต่ภายใต้ความมืดมิดทำให้เขามองไม่เห็นอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ และน้ำเสียงนั้นก็ไม่คุ้นหูอีกด้วย
“คุณเป็นใคร?” เฉินเฟิงถามอย่างระวังตัว
คนคนนั้นกดเสียงต่ำลง
“คุณไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมคือใคร แค่รู้ว่าผมมาเพื่อช่วยพวกคุณก็พอแล้ว”
เฉินเฟิงยังคงตั้งคำถามด้วยความสงสัย “พวกเราจะเชื่อคุณได้ยังไง”
เขาคนนั้นจึงตอบกลับ “คุณคิดว่านอกจากจะเชื่อผมแล้ว ยังจะมีตัวเลือกอื่นอีกงั้นหรอ ?จะอยู่ที่นี่รอความตายงั้นสิ?”
เฉินเฟิงถึงกับเงียบ เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงไม่ได้ตั้งคำถามใดๆ เขาคนนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนนี้ผมไม่มีหนทางที่จะพาพวกคุณออกไป เพราะพวกเขาเฝ้าคุ้มกันอยู่ข้างนอก รอให้ผมกลับมาครั้งหน้าพวกคุณต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี หากพวกเขาเอาอะไรให้พวกคุณกินอย่าได้ลิ้มลองเด็ดขาด รวมถึงน้ำด้วย อดทนให้ผ่านช่วงเวลานี้ไป ร่างกายของพวกคุณคงจะค่อยๆ ฟื้นสภาพกลับมาเอง เมื่อถึงตอนนั้นผมถึงจะสามารถพาพวกคุณออกไปได้”
ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาคนนี้มีเป้าหมายใดกันแน่ แต่ตอนนี้นอกจากเชื่อเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร