คำอธิบายนี้เฉินเฟิงไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย แต่บางทีหากเขาได้เป็นมหาปรมาจารย์แล้วก็คงจะได้สัมผัสมันเอง
จากนั้นชิงจือก็กล่าวอธิบายต่อ
“แต่ด้วยความกระจัดกระจายของศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ทำให้การก้าวหน้าของเหล่าผู้ไล่ตามเริ่มถดถอย และค่อยๆ หยุดชะงักลงไป ซึ่งในช่วงเวลานั้นเพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างศิลปะการต่อสู้ในตอนนั้นและปัจจุบันจึงได้มีการขนานนามช่วงเวลานั้นว่าเป็นยุคศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ และเมื่อเอายุคศิลปะการต่อสู้เก่าแก่มาเปรียบเทียบก็เป็นเหมือนกับระบบต่างๆ ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองมีสัญลักษณ์สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง”
“การเดินทางของพระรัตนตรัย”
ประวัติศาสตร์ในส่วนนี้เฉินเฟิงเคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้มีการแผ่ขยายมาจากเปอร์เซีย อินเดีย เข้าสู่ประเทศทางตะวันตกจนมีผลกระทบอย่างรวดเร็วต่อศิลปะการต่อสู้ในที่ราบตอนกลาง และที่สำคัญไปกว่านั้นทั้งหมดนี้เป็นการสืบทอดมาจากพระพุทธศาสนาอีกด้วย เช่นเดียวกับวัดเส้าหลินที่เรียนรู้จนกลายเป็นสถานที่ของผู้เชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ จนเหล่านักต่อสู้ล้วนให้ความเคารพว่าเป็นต้นแบบทางศิลปะการต่อสู้
แต่ว่าทั้งหมดนี้เดิมทีไม่ได้มีการเริ่มต้นมาจากพื้นที่ราบตอนกลาง ดังนั้นหลังจากมีการเข้าสำรวจพื้นที่แห่งศิลปะต่อสู้ดั้งเดิม จึงทำให้เกิดการบูรณาการและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทำให้ค่อยๆ มีการสืบทอดศิลปะการต่อสู้ในแบบปัจจุบัน
ชิงจือพยักหน้า
“ใช่แล้ว ฉะนั้นความเกี่ยวข้องกับสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นความลับสุดยอดของศิลปะการต่อสู้ในแบบปัจจุบันนี้”
“มันมีความเกี่ยวข้องกับต้าถงด้วยงั้นหรอ?” เฉินเฟิงถามอีกครั้ง
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตามที่ได้มีการสืบขานกันมาคือหากได้ครอบครองสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าแล้วก็จะรู้จักต้าถงไปโดยปริยายเอง ทั้งยังสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งความกลมกลืนของสวรรค์และโลก และทั้งหมดนี้ก็คือความลับที่พวกเราเหล่ามหาปรมาจารย์ต้องพยายามปกป้องเอาไว้”
“ในเมื่อมีสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าแล้ว พวกคุณทำไมถึงไม่เข้าไปค้นหาความลับที่มันมีอยู่ข้างในนั้น แต่กลับแยกมันมาปกป้องกันคนละเม็ดแบบนี้ด้วยล่ะ และทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าในนั้นมีของล้ำค่าซ่อนอยู่กลับยังอดทนไม่เข้าไปแตะต้องมันอีก” เฉินเฟิงถามด้วยความสงสัย
แต่ว่าชิงจือกลับไม่ให้คำตอบใดๆ ราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดไปทั้งหมดนั้นได้อธิบายข้อสงสัยของเฉินเฟิงไปหมดแล้ว และสิ่งที่เธอต้องการรู้มากที่สุดก็คือตอนนี้เม็ดบัวของชายชราหยางไปอยู่ที่ไหนแล้ว
เฉินเฟิงที่เห็นแบบนั้นก็ไม่คิดที่จะปกปิดอะไร เขาจึงได้บอกคำพูดที่หยางสิงอี้ได้บอกกับเขาให้กับชิงจือ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเต้าสวนจะยังมีชีวิตอยู่ ตึกไห่สือช่างใจกล้าแม้แต่เต้าสวนยังกล้ารับเอาไว้”
แน่นอนว่าชิงจือเข้าใจความหมายในประโยคนั้น ในขณะที่เฉินเฟิงที่อยากจะถามให้เข้าใจ แต่ชิงจือราวกับว่าไม่อยากจะสนใจเขาอีกต่อไปแล้ว
สำหรับเรื่องของตึกไห่สือและเต้าสวนอะไรนั่น เฉินเฟิงรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเฟ้นหาคำตอบ เพราะสถานที่ต่อไปของชิงจือก็คงจะไม่พ้นจากตึกไห่สือแน่นอน ดังนั้นรอจนขับรถเข้าสู่ถนนใหญ่ เฉินเฟิงจึงได้ถามขึ้นมา
“พวกเราต้องไปตึกไห่สือใช่หรือเปล่า?”
แต่ว่าชิงจือกลับบอกชื่อสถานที่ที่เฉินเฟิงไม่รู้จักอีกครั้ง
“หอเทียนเสี้ย”
เฉินเฟิงมองไปยังชิงจือด้วยความสงสัย อยากให้เธออธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นผู้หญิงที่หากสามารถพูดให้น้อยลงได้ เธอจะไม่มีทางพูดอะไรเกินจำเป็นกว่านั้นเด็ดขาด
เฉินเฟิงจึงต้องถามเอาคำตอบเองเท่านั้น “แล้วหอเทียนเสี้ยเป็นที่แบบไหน?”
แต่ในตอนที่เฉินเฟิงยังไม่ทันได้คำตอบก็มีรถซูเปอร์คาร์สีแดงคันหนึ่งขับไล่ตามเขามาจากด้านหลัง รถคันนั้นขับแซงขึ้นไปจอดลงตรงหน้ารถของเฉินเฟิงเพื่อบังคับให้เขาจอดรถอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เมื่อสักครู่นี้เขาเหลียวหันไปมองชิงจือเลยทำให้ตอนที่หันหน้ากลับมา ข้างหน้าก็มีรถซูเปอร์คาร์คันหนึ่งจอดขวางหน้าเขาแล้ว เขาจึงรีบหักพวงมาลัยรถหลบไปอีกทางทันที ก่อนจะเหยียบเบรกจนสุด
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงชนเข้ากับราวกั้นถนนอย่างเลี่ยงไม่ได้
รอจนกระทั่งทุกอย่างจบลง เฉินเฟิงที่รู้สึกเจ็บแค่ตรงบริเวณข้อมือ โดยส่วนอื่นๆ ของร่างกายไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาจึงหันไปดูอาการของชิงจือ
ชิงจือหันมามองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองราวกับกำลังบอกว่าเขานั้นขับรถไม่ระวัง
เฉินเฟิงเองก็รู้สึกเอือมระอา แต่เมื่อเห็นว่าชิงจือไม่น่าจะเป็นอะไร เขาจึงโล่งอกขึ้นมาทันที
แต่ว่ารถซูเปอร์คาร์สีแดงที่จอดอยู่ขวางทางพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรเฉินเฟิงก็ไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด
เขาเดินลงจากรถพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเตรียมตัวที่จะจัดการเรื่องนี้ และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นเฉินเฟิงเดินลงมาจากรถ เขาจึงลงมาจากรถด้วยเช่นกัน
คนที่เดินลงมาเป็นชายหนุ่มท่าทางเป็นผู้ดีคนหนึ่ง แต่เมื่อย้อนคิดถึงการกระทำของเขาแล้ว เฉินเฟิงรู้สึกว่าเขาไม่มีความเป็นผู้ดีอะไรเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเดินไปถึงหน้าของเขาคนนั้น เฉินเฟิงยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร เขาก็ชิงพูดออกมาก่อน
“คุณคือเฉินเฟิงสินะครับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...