ชิงจือที่พอได้ฟังก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ มากมาย
“แล้วคุณจะเตรียมรับมือยังไงต่อ?” ชิงจือถาม
ถึงแม้คำถามของชิงจือจะฟังดูเรียบง่าย แต่เฉินเฟิงเข้าใจดีว่าเธออยากจะรู้ว่าเขาจะรับมือกับเขาคนนั้นอย่างไร
เฉินเฟิงจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “เก็บตัวก่อนชั่วคราว เพราะยังไงซะที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ของผม อีกอย่างเขาไม่ได้บรรลุแผนการด้วย ดังนั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาเสียเวลากับที่นี่”
ชิงจือที่ได้ยินแบบนั้นได้เพียงพยักหน้าโดยไม่แสดงความเห็นใดทั้งสิ้น
ทั้งสองเดินออกมาจากประตู กำลังจะออกจากวิลล่าไป ทว่ากลับมีคนไล่ตามหลังพวกเขามา
และนั่นก็คือเด็กสาวที่ชื่อเยว่เอ๋อที่เพิ่งบุกเข้าไปในห้องเมื่อสักครู่นี้
เฉินเฟิงหยุดก้าวเท้าด้วยความสงสัยพลันหันไปมองเธอ
และเป็นอย่างที่คิดเธอวิ่งไล่ตามเฉินเฟิงพวกเขาสองคนมา
“พวกคุณเป็นแขกของคุณปู่ ตอนนี้จะกลับกันแล้วหรอคะ ?”
เฉินเฟิงพยักหน้าด้วยความสุภาพ
“พวกคุณช่วยอะไรหนูหน่อยได้หรือเปล่าคะ?” ถึงเยว่เอ๋อจะพูดไปแบบนี้ แต่การร้องขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าก็ทำให้เยว่เอ๋อรู้สึกเกรงใจไม่น้อย
เฉินเฟิงมองเยว่เอ๋อ ก่อนจะหันไปมองชิงจือ หวังจะถามความเห็นจากเธอ แต่ว่าชิงจือยังคงเอาแต่ทำหน้าเฉยชาอยู่อย่างนั้นมองมายังเฉินเฟิง
เฉินเฟิงจึงต้องคุยกับเยว่เอ๋อด้วยตัวเอง: “พวกเราไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะว่าจะช่วยเธอได้ แต่เธอสามารถบอกกับพวกเราได้ ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร พวกเราจะช่วยแน่นอน”
ถึงแม้จะไม่ได้คำตอบที่แน่นอน แต่ใบหน้าของเยว่เอ๋อกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา
จากนั้นเธอจึงพาพวกเขาสองคนกลับเข้าไปในวิลล่า ทว่าไม่ได้กลับไปยังห้องโถงที่พวกเขาอยู่เมื่อสักครู่นี้ แต่เป็นห้องนอนห้องหนึ่ง
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปด้านในก็มีกลิ่นหอมสดชื่นตลบอบอวลอยู่ในห้อง ซึ่งกลิ่นนั้นเป็นกลิ่นหอมของหญิงสาว และที่นี่คงจะเป็นห้องของเด็กสาวแน่นอน
เฉินเฟิงไม่คิดว่าเด็กสาวจะพาพวกเขาสองคนมาที่นี่ ดังนั้นหลังจากที่ได้รู้เขาจึงไม่กล้าตวาดสายตาไปรอบๆ เพียงนั่งลงไปยังที่ที่เด็กสาวชี้ให้พวกเขานั่งเท่านั้น
ซึ่งหลังจากที่เฉินเฟิงนั่งลงไปถึงเพิ่งเห็นว่าภายในห้องมีแค่เก้าอี้ตัวเดียวเท่านั้น เขาอยากจะลุกขึ้นให้ชิงจือนั่ง ทว่าชิงจือกลับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่ไม่อยากจะนั่ง
เฉินเฟิงจึงได้แต่ยอมรับแล้วนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันสายตาไปยังเยว่เอ๋อที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมคำถาม
“เอาล่ะ เธอเรียกพวกเราเพราะเรื่องอะไร?”
เยว่เอ๋อที่ดูเหมือนจะยังไม่ทันได้เตรียมตัว จึงทำให้เธอมีความลังเลก่อนจะพูดออกมา ทางด้านเฉินเฟิงที่ไม่ได้รีบร้อนจึงรอฟังอยู่อย่างนั้น
บนโต๊ะหนังสือที่อยู่ข้างกายของเฉินเฟิงมีหนังสือนิยายหลายเล่มวางอยู่ ซึ่งล้วนเป็นพวกวรรณกรรมคลาสสิคของยุโรปและอเมริกา พร้อมกับด้านข้างของมันมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่มีปากกาแนบเอาไว้ ซึ่งคงจะใช้จดบันทึกเวลาที่เด็กสาวอ่านหนังสือ
และเฉินเฟิงพอจะคาดเดาได้เลยว่าเด็กสาวน่าจะชื่นชอบในพวกศิลปะและวรรณกรรม
ซึ่งในตอนนั้นเองที่เยว่เอ๋อเอ่ยปากพูดขึ้นมา: “ที่จริงแล้วเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับคุณปู่ด้วย แต่ว่าหนูไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี”
“เธอควรจะบอกให้ละเอียดกว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือเธอยังไง” เฉินเฟิงบอก
เยว่เอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นจึงตัดสินใจพูดออกมา: “หนูพบว่าคุณปู่กำลังทำเรื่องที่ไม่ดี แต่ว่าหนูไม่กล้าที่จะไปคุยกับเขา กลัวว่าจะถูกด่าแล้วเขาจะไม่ต้องการหนูอีก”
เฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวจะไม่รู้เรื่องที่ชายชรานั้นทำ หรือว่าเด็กสาวกำลังหลอกพวกเขาอยู่เหมือนกัน
ด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย เฉินเฟิงจึงพยายามสังเกตท่าทีของเด็กสาวอย่างระมัดระวัง
ในขณะที่เธอพูดออกมา สีหน้าของเธอดูเหมือนกำลังลังเล ราวกับว่ารู้สึกอับอายที่กำลังทรยศ
“แล้วทำไมเธอถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมา?” เฉินเฟิงคิดอยู่ในใจ
แต่แล้วเยว่เอ๋อก็อธิบายถถึงเรื่องที่คาใจของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...