จากนั้นก็ล้มลงไปหาเฉินเฟิงอย่างกะทันหัน
ตามหลักแล้ว เฉินเฟิงยังไงก็จะต้องพยุงเซียงหลันไว้ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ได้แต่มองไปยังยังทิศทางที่เซียงหลันล้มลงไป แม้แต่ก่อนที่เธอเกือบจะล้มมาชนตัวเองนั้น ก็ยังหลบหลีกให้พ้นทางไป
ฉะนั้นเซียงหลันไม่ทันระวังจึงล้มลงไปกับพื้น เธอเพิ่งจะหลับตาทั้งสองลงเมื่อครู่ คิดว่าเฉินเฟิงไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอล้มลงไปได้
แต่ว่าตอนนี้กลับล้มลงไปกับพื้น จึงรู้สึกตกตะลึงบ้างเล็กน้อย เสียงของเฉินเฟิงก็ดังขึ้น
“ตอนนี้ร่างกายของแกอ่อนแอมากจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องเป็นลมล้มพับแบบนี้ ส่วนที่แกทำเช่นนี้ ฉันก็คิดว่าแกคิดแผนการอะไรกับฉัน”
เซียงหลันคิดในใจว่า “ต่อให้ฉันคิดแผนการอะไรกับแก แต่ว่าแกก็ไม่น่าจะใจดำขนาดปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องล้มลงไปกับพื้นต่อหน้าต่อตาเลยนี่นา”
ถึงแม้ในใจคิดเช่นนั้น แต่ตัวเองก็ต้องคลานขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจบ้างเล็กน้อย
มองไปยังเฉินเฟิง แต่ก็ยังคงยิ้มหน้าระรื่นแล้วพูดว่า “ท่านเฝิงคะ ทำไมถึงได้ไร้เยื่อใยเช่นนี้ล่ะคะ”
เฉินเฟิงพูดว่า “นิสัยอย่างแกนะ เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วตลอดเวลามากเกินไป คนซื่อๆอย่างฉันก็คงตามไม่ทัน กลัวตัวเองถูกแกหลอกเอาสิ”
เซียงหลันยืนขึ้นมา แล้วปัดเศษใบหญ้าที่ติดมาบนตัวออกไป พูดว่า “ท่านเฝิง ท่านก็อย่ามาล้อเล่นกับเซียงหลันสิ เซียงหลันเคยพูดโกหกหลอกลวงท่านเมื่อไหร่บ้างล่ะ”
ส่วนเฉินเฟิงก็มาคิดดู เมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ดูเหมือนว่าเซียงหลันก็ไม่เคยพูดอะไรที่โกหกเขาจริงๆ แต่ว่ายังไงก็ต้องกันไว้ดีกว่าแก้
จากนั้นก็หยิบก้อนหินชิ้นนั้นออกมาจากกระเป๋า แล้วถามเซียงหลันว่า “แล้วนั่นมันเป็นเรื่องอะไรอีกกันแน่?”
เซียงหลันยังคงยิ้ม ดวงตาที่กลมโตคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมาสองรอบแล้วพูดว่า “แน่นอนก็ต้องเป็นของขวัญที่ให้กับท่านเฝิงไง ถือว่าเป็นของขวัญที่ชดใช้ให้กับท่าน จากคนที่เคยจับตัวท่านผิดไปไงล่ะ”
เฉินเฟิงก็ย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา เขาพูดว่า “ในเมื่อเป็นของขวัญที่ชดใช้ให้ฉัน งั้นฉันก็คงต้องรับมันไว้แล้วสิ"
สีหน้าของเซียงหลันสะดุดอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านเฝิงพูดอะไรเช่นนั้นล่ะ ในเมื่อบอกว่าให้ท่านแล้ว ถ้าท่านไม่รับไว้ก็จะทำให้เซียงหลันรู้สึกทำตัวลำบากนะสิ ของชิ้นนี้ถึงจะไม่ใช่เป็นของวิเศษอะไร แต่อย่างน้อยก็มีราคาบ้างนะ”
เฉินเฟิงก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่ แต่มักจะมีความรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่น่าจะธรรมดาเช่นนี้
แต่ว่าเซียงหลันก็พูดอย่างนี้แล้ว เฉินเฟิงจึงเอาของชิ้นนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม
“ในเมื่อเป็นของของฉัน แกก็อย่าคิดเอาคืนไปก็แล้วกัน”
เซียงหลันยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านคงไม่ใช่เกรงกลัวตู๋กูหยุนอะไรนั่นนะ”
เฉินเฟิงรู้ว่าคำพูดเธอแฝงหมายความว่าอย่างไร แต่ว่าก็ไม่สนใจเธอ เพียงแต่ถามถึงเด็กหนุ่มเมื่อครู่ว่า “คนที่จากไปสองคนนั้น แกรู้จักเหรอ?”
เซียงหลันตอบว่า “คนของตระกูลเชียน”
เฉินเฟิงถามว่า “อะไรคือคนของตระกูลเชียนเหรอ?”
มองดูท่าทีของเฉินเฟิงก็ไม่เหมือนกำลังหยอกล้อเธออยู่ เซียงหลันจึงถามอย่างประหลาดใจว่า “ท่านเฝิงไม่เคยได้ยินตระกูลเชียนเลยเหรอ?”
เฉินเฟิงถามอย่างอยากรู้ว่า “พวกเขามีชื่อเสียงมากเลยเหรอ?”
เฉินเฟิงไม่เคยได้ยินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากว่าเมื่อสองปีก่อนเขาสามารถบรรลุถึงระดับชั้นเหมือนเช่นนี้แล้ว ก็ย่อมต้องรู้จักตระกูลเชียนอย่างแน่นอน ตอนนั้นผู้กล้าทั้ง18ของตระกูลเชียน เพียบพร้อมด้วยคนมีความรู้ความสามารถ ยอดฝีมือก็มีอยู่ทุกแห่งหน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...