มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 11

“แน่นอนว่าลองมาแข่งกันว่าใครสามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้บนแผ่นศิลาดำได้ลึกกว่ากัน เมื่อครู่เจ้าบ้าดีเดือดไม่น้อยมิใช่หรือ กล้าแข่งกันไหมล่ะ ?” เจ้าเหลี้ยงพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งและมั่นใจ

“จริงด้วย สวะชั้นต้นอย่างเจ้ากล้ามาโอ้อวดที่นี่ หากมีความสามารถจริงก็แข่งกับเจ้าเหลี้ยงเสียหน่อยสิ”

“พวกที่มีความสามารถเพียงแค่หางอึ่ง แต่ชอบโอ้อวดไปทั่วอย่างเขา ถ้าหากสามารถเอาชนะจ้าวเหลี้ยงได้จริง ข้าจะยอมกินแผ่นศิลาดำเลยคอยดู !”

คนที่อยู่โดยรอยต่างพูดสมทบขึ้นมา คำพูดเต็มไปด้วยคำดูถูกเหยียดหยามหลัวซิวอย่างเปิดเผย

หลิวซิวไม่สนใจการแข่งขันที่ไร้ประโยชน์พวกนี้ แต่เขาเองก็รู้ดีว่าหากเขาปฏิเสธที่จะแข่งขันกับจ้าวเหลี้ยง คนพวกนี้คงจะต้องเอาเขาออกไปพูดนินทาว่าร้ายให้เสียหายอย่างแน่นอน

เขาแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “เจ้าคิดจะเดิมพันอะไร ?”

เมื่อเห็นหลัวซิวตอบตกลง จ้าวเหลี้ยงก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็นึกเยาะเย้ยขึ้นในใจ และแอบคิดว่าเจ้าหมอนี่ช่างแส่หาเรื่องจริง ๆ

“ฮ่าฮ่า ในเมื่อคิดจะเดิมพัน ก็ย่อมจะต้องมีสิ่งเดิมพันสักหน่อย ดูเหมือนคนยากไร้อย่างเจ้าคงจะไม่มีอะไรที่พอจะพนันได้ ถ้าเช่นนั้นเอาเป็นว่า ผู้แพ้จะต้องยอมคำนับผู้ชนะเพื่อยอมรับผิด !” จ้าวเหลี้ยงพูดเช่นนี้เพราะเขามั่นใจว่าหลัวซิวไม่มีทางที่จะเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน

เพราะเข้าอยู่ถึงระดับการกลั่นร่างขั้น6 มิหนำซ้ำยังฝึกตนในทักษะยุทธ์ระดับ3 หากเข้าใช้พลังทั้งหมดที่มีจริง ๆ เขาจะต้องทิ้งร่องรอยที่ชัดเจนเอาไว้ได้อย่างแน่นอน

ส่วนหลัวซิวเป็นเพียงแค่เด็กชั้นต่ำยากไร้คนหนึ่ง อย่างมากก็คงฝึกตนอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับ2 และมีผลการฝึกตนที่ต่ำกว่าตนเอง จึงไม่มีเหตุผลที่จะเอาชนะตนเองได้เลย

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ ดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย มีการบอกต่อกันไปปากต่อปาก ได้ยินมาว่ามีคนท้าประลองกับจ้าวเหลี้ยง ยิงเวลาผ่านไปนานก็ยิ่งมีคนเข้ามามุงดูมากยิ่งขึ้น

หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเหลี้ยงจะร้ายกาจเช่นนี้ ที่เดิมพันด้วยการคำนับ ถ้าหากเขาแพ้แล้วต้องคุกเข่าลงไปก้มหัวคำนับอีกฝ่ายต่อหน้าทุกคนจริง ๆ ชาตินี้เขาคงไม่อาจลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไป

“ใครแพ้ต้องก้มหัวคำนับเพื่อรับโทษ เจ้าหมอนี่เมื่อครู่ยังพูดว่าคนอื่นไร้ความสามารถ ครั้งนี้ข้าจะขอดูซิว่าตัวเขาเองมีความสามารถอะไร !”

“เช่นนั้น ขอให้ทุกคนในที่นี้เป็นพยาน คิดว่าเขาคงไม่กล้าปฏิเสธ !”

หลายคนกำลังตั้งตารอชมเรื่องสนุก เรื่องทำนองนี้สำหรับลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง

“ได้ ข้ารับปาก !” หลัวซิวรับคำ ในเมื่ออีกฝ่ายบีบบังคับผู้อื่นเช่นนี้ เขาเองกคงไม่เกรงใจ เขาจะทำให้จ้าวเหลี้ยงผู้นี้ได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่มาหาเรื่องคนอย่างตนให้ได้ !

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวเองก็ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากเรื่องในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ใช้คนอื่นกล้ามาหาเรื่องตนอีก อีกส่วนหนึ่งยิ่งตนเองได้แสดงความสามารถที่โดดเด่นออกมามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสและอาจารย์ในสำนักยุทธ์ได้มากขึ้นเท่านั้น

หลัวซิวเข้าใจถึงภูมิหลังของครอบครัวตนเองดี หากเขาล่วงเกินบรรดาคุณชายทั้งหลายขณะที่อยู่ในสำนักยุทธ์ ก็คงไม่เกิดปัญหาตามมามากนัก แต่ทันทีที่ก้าวออกจากสำนักยุทธ์ คงมีคนบางกลุ่มที่กลับมาแก้แค้นเขาอย่างเปิดเผยและไม่เกรงกลัว แต่ถ้าหากเขาได้รับความสนใจจากสำนักยุทธ์ ฐานะของเขาก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ฮ่าฮ่า เจ้าหนู เจ้าจบเห่แน่ !”

เจ้าเหลี้ยงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปราณในของเขาเคลื่อนไหว พร้อมทั้งตะโกนออกมาเสียงดังว่า : “เจ้าจงจับตาดูให้ดี ๆ !”

“หมัดแสงหลัว !”

มีแสงประกายจาง ๆ ส่องสว่างออกมาจากหมัดของจ้าวเหลี้ยง โดยปกติมีเพียงการกลั่นร่างขั้น7เท่านั้น ที่จะทำให้ปราณในส่องแสงสว่างได้ เห็นได้ว่าทักษะยุทธ์ที่เขาแสดงออกมานั้น ถือเป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องมีการฝึกตนขั้นต่ำอยู่ในระดับ3

“ตุบ !”

แผ่นศิลาดำสั่นคลอน เสียงดังหนักแน่นปรากฏขึ้น จ้าวเหลี้ยงรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีในการปล่อยหมัด จึงปรากฏเป็นรอยหมัดที่ชัดเจนขึ้นบนแผ่นหิน

“ยอดเยี่ยมจริง ๆ !”

ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

“เมื่อครู่ข้าเห็นหมัดของเจ้าเหลี้ยงส่องแสงสว่างของปราณในออกมา เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเขา สามารถทัดเทียมได้กับการกลั่นร่างขั้น7”

“จริงด้วย ถึงแม้จะไม่อาจเทียบเท่าได้กับการกลั่นร่างขั้น7จริง ๆ แต่ก็ต่างกันไม่มาก ดูเหมือนว่าผลการฝึกตนของจ้าวเหลี้ยงผู้นี้ คงจะใกล้บรรลุแล้ว”

ผู้คนต่างตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของจ้าวเหลี้ยง

การฝึกยุทธ์ พรสวรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ เวลาที่เท่ากัน ทรัพยากรที่เท่ากัน บางคนฝึกตนถึง10ปี ยังเทียบไม่ได้กับผู้มีพรสวรรค์ที่ฝึกตนเพียงแค่ปีเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ