หญิงสาวชุดขาวมึนงงอยู่ชั่วขณะ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นคืนสติ มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อสายตาของนางตกไปอยู่ที่ร่างของหลัวซิว ความเยือกเย็นแวบผ่านดวงตาอันงดงามพร้อมกับคำพูดที่ระแวดระวัง “เจ้าเป็นใคร?”
เสียงของนางดูอิดโรย แต่กลับไพเราะราวเสียงจากธรรมชาติ ทำให้คนฟังได้ยินแล้วใจสั่น
“เจ้าถูกไล่ฆ่า ข้าช่วยเจ้าไว้” หลัวซิวตอบตามความจริง
ในขณะนั้นเอง หญิงสาวชุดขาวก็สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าและผ้าคลุมหน้าของนางไม่มีอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิม จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วมองไปยังหลัวซิวอีกครั้งแววตาที่ซาบซึ้งเปล่งประกายในดวงตาที่สวยงามของนาง
“ข้าขอบใจ” นางพยายามฟื้นตัวลุกขึ้น เอาหลังพิงเข้ากับผนังถ้ำหิน และพูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงอิดโรย
หลัวซิวพยักหน้า แล้วหันสายตาไปอีกทาง
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อสบตากับหญิงสาวชุดขาว ใจของเขาก็หยุดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว เมื่อเห็นท่าทีที่อิดโรยของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่คิดอยากจะปกป้องนาง
หลัวซิวไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหน นี่ทำให้เขาต้องระวังตัวกับหญิงสาวชุดขาวคนนี้ เพราะเขารู้สึกว่าจิตใจแบบนี้ไม่ปกติ
หญิงสาวชุดขาวเหมือนจะสามารถรับรู้ได้ถึงความระวังตัวของหลัวซิวที่มีต่อตัวนาง มันทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก หรือนางยังสามารถทำร้ายเขาได้อีกอย่างนั้นหรือ?
บาดแผลบนตัวนางถูกขยับโดยไม่ทันระวัง หญิงสาวชุดขาวเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าซีดเซียว ร่างบางสั่นไหวไปทั้งตัว
ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของการบาดเจ็บ นัยน์ตาของหญิงสาวชุดขาวเผยให้เห็นแววของความสิ้นหวัง
ดูจากการบาดเจ็บของนางในตอนนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเคลื่อนไหว แม้แต่จะทำลายยันต์หยกแดงเพื่อหายออกไปจากที่นี่ก็ยังไม่สามารถทำได้
ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นตัวที่สิ้นหวัง เพราะหากแม้ต้องตกไปอยู่ในมือของใคร เกรงว่าตอนจบคงไม่สวยงามเป็นแน่
“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่าเพิ่งฝืนขยับตัว”
ถึงแม้หลัวซิวจะกดความรู้สึกพวกนั้นไว้ข้างใน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงนาง
“หืม?” ในเวลานี้เอง หลัวซิวก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป รับรู้ถึงการสำนึกที่กวาดผ่านมาทางด้านนอกของค่ายกล ทั้งยังทำให้ค่ายกลเกิดความผันผวนอีกด้วย
ทั้งนี้ การสำนึกที่ส่งเข้ามาสำรวจนั้นไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นสอง
“สวบ! สวบ!”
เสียงร้าวทั้งสองดังขึ้นเกือบจะในทันที ดังขึ้นภายนอกรอบ ๆ ค่ายกลที่หลัวซิวสร้างไว้
“หึ ใครกันที่สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ฝีมือช่างหยาบกระด้างเสียจริง” หนุ่มชุดหยินหยางคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
กลางอกของหนุ่มชุดหยินหยาง มีตรานักค่ายกลระดับสี่แขวนอยู่
“เฮอะ ๆ นักค่ายกลนอกรีต จะทัดเทียมเสมอเหมือนอัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกลอย่างเจ้าได้อย่างไร?”
ข้าง ๆ หนุ่มชุดหยินหยาง มีชายหนุ่มร่างกำยำยืนอยู่ตรงนั้น เขาตัวสูงกว่าแปดฟุต ดูราวกับเป็นยักษ์ตัวเล็ก ๆ ผิวพรรณผ่องใสเป็นประกายระยิบระยับ มีขวานขนาดใหญ่สองอันที่พาดไปทางด้านหลัง
ภายในถ้ำหิน หลัวซิวกระจายการสำนึกออกไป เมื่อสังเกตพบทั้งสองคนนั้น แววตาก็พลันสั่นไหวเล็กน้อย
ตามสถิติที่องค์กรนักล่ายุทธ์มีบันทึกอยู่ในมือ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับทั้งสอง คนหนึ่งคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกล ยี่ซวน ส่วนอีกคนคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักหลอมอาวุธ เหมิงขวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...
ตอนใหม่ยังไม่ลงเลยครับ...