จนถึงตอนนี้ คนเดียวที่รู้ต้นกำเนิดและตัวตนที่แท้จริงของหลัวซิวคือประมุขเขา ลวี่โหลว เทพธิดาหงเหยียนและผู้อาวุโสใหญ่ที่รู้เพียงครึ่งเดียว
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ หลัวซิวยังคงเป็นศิษย์ใจกลางคนใหม่ของภูเขาว่านเริ่น แม้ว่าผู้อาวุโสหลายคนจะงงงวยและสงสัยกับการปรากฏตัวของผู้คนจำนวนมากใน หุบเขาเทพจันทราอย่างกะทันหัน แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกลวี่โหลวพูดคลุมเคลือผ่านเรื่องนี้ไป
ถึงกระนั้น หลัวซิวก็ไม่คิดว่าต้นกำเนิดและตัวตนของเขาเป็นความลับ อย่างน้อยเมิ่งเชียนชางก็ต้องรู้เกี่ยวกับเขา
เขาตอนที่ความทรงจำฟื้นขึ้นมา ต่อสู้กับเศษที่เหลือของเมิ่งเชียนชางที่ซ่อนอยู่ในลูกแก้วความเป็นตาย การต่อสู้ในปีนั้นเป้าหมายหลักของเขาคือการทำลายกงล้อวัฏจักรธรรม แม้เมิ่งเชียนชางจะเสียชีวิตลง แต่ถ้าเขาต้องการกลับชาติมาเกิดก็ต้องไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน
เพราะเมิ่งเชียนชางเป็นผู้ควบคุมกงล้อวัฏจักรธรรมในช่วงระยะเวลาหนึ่งและได้ฝึกฝนวิถียุทธวัฏสงสาร ในโลกปัจจุบัน แม้แต่หลัวซิวก็ไม่สามารถเทียบได้กับเมิ่งเชียนชางในด้านของความเข้าใจเรื่องการกลับชาติมาเกิด
เมิ่งเชียนชางกับเขาในชาติที่แล้วเป็นทั้งศัตรูและเพื่อน ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เนื่องจากความแตกต่างในวิถียุทธ์ พวกเขาจึงเข้าสู่ฝ่ายตรงข้าม
หลัวซิวไม่รู้ว่าเมิ่งเชียนชางอยู่ที่ไหน เมื่อเขาทำลายความคิดที่เหลืออยู่ใน ลูกแก้วความเป็นตาย เมิ่งเชียนชางไม่ได้มาหาเขา จะเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่ฟื้นตัวมากนัก อย่างน้อยเขายังไม่สามารถทำได้ถึงระดับที่ฉีกพื้นโลกปริภูมิ
หลายปีผ่านไป ความแข็งแกร่งของหลัวซิวพัเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เขามั่นใจได้ว่าเมิ่งเชียนชางก็จะไม่เลวเช่นกัน ตอนนี้เขามาถึงโลกมหาศักดิ์แล้ว วันหนึ่งเขาจะเผชิญหน้ากับเมิ่งเชียนชางในไม่ช้าก็เร็ว
ในหุบเขาเทพจันทรา หลัวซิวขัเสมาธิอยู่ในห้องลับ มีกระถางธูปวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ เขา ในขณะนี้ ในหยั่งรู้ของเขา ญาณเทวชีวีกำลังพยายามวิวัตนาการวิชาก่อเกิดกายของหนังสือยุทธภัณฑ์
ในชาตินี้ หลัวซิวเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าวิถียุทธ์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง การเดินตามเส้นทางเก่าของรุ่นก่อน ๆ สามารถทำให้วิถียุทธ์ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น แต่มันจะไม่มีวันหลีกหนีจากการตั้งค่าของรุ่นก่อน ๆ และไม่สามารถก้าวข้ามรุ่นก่อนได้
ดังนั้น ในชาตินี้ เขาไม่ได้เดินตามทางเก่าของชาติที่แล้ว แต่เดินวิธีอื่น สร้างวิชาไร้ลักษณ์ แม้หลังจากที่เขาได้รับคัมภีร์โอสถในตำนาน ฎีกาค่ายและแม้แต่หนังสือยุทธภัณฑ์ เขาก็ตระหนักความเข้าใจของตนเองได้ และแปลงเป็นสิ่งที่เหมาะกับตนเอง
คัมภีร์โอสถกลั่นจิต หนังสือยุทธภัณฑ์กลั่นร่าง และฎีกาค่ายเป็นตัวช่วย หลัวซิวมีเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณที่สมบูรณ์สำหรับการอ้างอิง แม้ว่าด้านกลั่นจิตจะสู้กลั่นร่างเนื้อไม่ได้ แต่ในแง่ของศักยภาพ ร่างยุทธ์ร่างเนื้อในปัจจุบันของเขานั้นด้อยกว่าญาณเทวนัก
ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ ตัวสำนึกวิญญาณของผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์แบ่งออกเป็นสามระดับ จากต่ำไปสูง ตามลำดับของเทพจิต ช่องจิตช่องจิต และญาณเทว
หลังจากกลายเป็นวิถียุทธ์แด่เทพเจ้าแล้ว ก็จะควบแน่นเป็นช่องจิต ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ส่วนใหญ่ตลอดทุกยุคทุกสมัย แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนจนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า แต่จิตวิญญาณของพวกเขาก็ยังอยู่ในสภาพช่องจิต
แม้ว่าเขาจะถึงแดนผู้สูงส่งเมื่อตอนที่เขาเป็นไท่ซ่างฉิงในชาติที่แล้ว ระดับวิญญาณของเขาก็อยู่ในรูปช่องจิตเช่นกัน ในตอนแรก เขารับรู้อย่างคลุมเครือว่ามีระดับรูปวิญญาณที่สูงกว่าช่องจิต
สถานะตัวสำนึกวิญญาณปัจจุบันของเขาค่อนข้างต่ำ ดังนั้นความได้เปรียบของรูปญาณเทวจึงไม่ชัดเจนมากนัก แต่ถ้าผลการฝึกตนของเขาในชาตินี้ไปถึงแดนเทพมารระดับเก้า แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้า ในด้านการโจมตีกันของตัวสำนึกวิญญาณ ก็อาจด้อยกว่าพลังญาณเทวของเขามาก
และสิ่งที่หลัวซิวต้องทำตอนนี้คือศึกษาส่วนที่เหลือของหนังสือยุทธภัณฑ์ และต้องการสร้างและฝึกฝนวิชากลั่นร่างให้เหมาะสมกับเขาจากมัน
ความแข็งแกร่งของร่างกายนักยุทธ์ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเนื้อเลือด กล้ามเนื้อ กระดูก อวัยวะภายใน และพลังเลือดปราณ
หากอวัยวะภายในทั้งห้าแข็งแรง ก็สามารถเพาะพลังเลือดปราณแก่นแท้ที่ทรงพลัง เนื้อเลือด กล้ามเนื้อ กระดูกได้รับการหล่อเลี้ยงก็จะแข็งแกร่งขึ้น วิชากลั้นร่างธรรมดาก็เช่นเดียวกับ
จากวิชาก่อเกิดกายในเศษของหนังสือยุทธภัณฑ์ ทำให้หลัวซิวค้นพบวิธีอื่นและได้สร้างวิชาอมตะหนึ่งขึ้นมาจากมัน
นี่คือวิชากลั่นร่างอมตะหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้ แต่เพื่อฝึกฝนร่างเนื้อ
และหน้าที่ของวิชาอมตะนี้คือการกลืนกินวัสดุเหล็กเศษณ์ทองเซียนทุกชนิด เช่นเดียวกับการหลอมอาวุธ รวมสมบัติฟ้าดินทุกชนิดไว้ในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายของตนคล้ายอาวุธของขลังให้กลั่นขึ้นมาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ยิ่งเหล็กเศษณ์ทองเซียนถูกหลอมรวมมากเท่าไร ระดับก็จะยิ่งสูงขึ้น ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็จะยิ่งบรรลุเร็วขึ้นเท่านั้น และยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย
ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาได้มาถึงร่างเทวระดับหกขั้นปฐมภูมิตั้งนานแล้ว และด้วยระดับเทพยันต์ค่ายเก้าสิบเก้ายันต์ค่ายที่จารึกไว้บนร่างกายของเขาด้วยด้วยวิชาฎีกาค่าย เขาก็เทียบเท่ากับมีพลังร่างเทวระดับหกช่วงกลาง
แม้ว่าหลังจากมาที่ภูเขาว่านเริ่นแล้ว หลัวซิวก็ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนมากมาย แต่หลัวซิวก็ไม่รีบร้อนที่จะเพิ่มผลการฝึกตนของเขา ในชาติก่อนของเขา ในฐานะผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่ง ไม่มีใครรู้ว่าความสำคัญของพื้นฐานนั้นสำคัญเพียงใด
เมื่ออยากจะประสบความสำเร็จเร็วก็จะทิ้งอันตรายที่ซ่อนไว้ในสำหรับหนทางแห่งการฝึกตนที่ยาวไกลในอนาคต
สำหรับวรยุทธ์ หลัวซิวได้ข้ามผ่านวรยุทธ์ทั่วไปตั้งนานแล้ว เหตุผลที่ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ที่แท้จริงทรงพลังนั้นไม่ได้มาจากวรยุทธ์ที่ทรงพลัง แต่มาจากความเข้าใจในวรยุทธ์ของตนเอง และตัวธรรมที่แน่วแน่
มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนตั้งแต่สมัยโบราณ แต่มีอัจฉริยะหลายคนที่ฝึกฝนวรยุทธ์ยุดยอดตั้งแต่เริ่มต้น อาจกล่าวได้ว่าราบรื่นและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่เมื่อเข้าสู่วิถียุทธ์ช่วงปลาย ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นมารบ้าหรือผลการฝึกตนไม่เพิ่มขึ้นอีก
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ลอกเลียนแบบ แต่เป็นผู้บุกเบิก! ไม่ว่าจะเป็นใคร หากต้องการไปถึงจุดสุดยอดของวิถียุทธ์ ก็ต้องสร้างเส้นทางของตนเอง เป็นวรยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเอง ฝึกฝนวรยุทธ์ของคนอื่นจะเป็นของคนอื่นเสมอ และจะไม่สามารถเป็นตนเองได้อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...