มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2707

เมื่อหลัวซิวพาพวกซูเสว่หลันออกไปจากเวทีประลองยุทธ์ได้ไม่นาน ถังกู่สงที่ไปเยี่ยมเยียนผู้แข็งแกร่งทั้งหลายในเมืองเสว่น่าก็ได้รับข่าว

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าที่สูงส่งคนหนึ่ง เมื่อพูดตามหลักการแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่น่าจะทำให้ถังกู่สงตื่นตกใจได้ ตอนแรกเริ่มมีศิษย์ในสำนักสรรพอสูรเกิดความขัดแย้งกับซูเสว่หลัน แล้วทราบมาว่าบนตัวนางมีของขลังที่ทรงพลังชิ้นหนึ่ง

ทว่าสตรีที่มีผลการฝึกตนเป็นเทพมารระดับหกคนหนึ่ง นางจะมีของขลังที่ทรงพลังได้มากเพียงใดเชียว? อย่างมากสุดก็เป็นเพียงอาวุธเทพระดับเจ็ด ดีหน่อยก็เป็นเพียงอาวุธเทพระดับแปด

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาถังหย่งเห็นของดีแล้วอยากลอง ดังนั้นถังหย่งจึงออกจากสำนัก แล้วตามสะกดรอยไปถึงตระกูลของซูเสว่หลัน

แต่ทว่าไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่าถังหย่งที่มีผลการฝึกตนเป็นเทพมารระดับหก บวกกับมีพลังอมตะของนักทาสอสูรจะถูกผู้อื่นสังหาร นี่จึงทำให้ถังกู่สงรู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง

การที่สามารถฝึกตนขึ้นมาถึงแดนเทพมารระดับเก้าได้นั้น ถังกู่สงล้วนใช้เวลาส่วนมากมาฝึกตน ดังนั้นทายาทของเขาจึงมีเพียงถังหย่งคนเดียวเท่านั้น ซึ่งได้รับการดูแลปรนเปรออยู่ในสำนักสรรพอสูรมาโดยตลอด

ถังกู่สงพิโรธ ดังนั้นจึงมีท่านหมี่ที่ไปตรวจสอบเรื่องนี้ ต่อมาก็มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทันทีที่มาถึงเมืองเสว่น่า ถังกู่สงก็ได้รับข่าวคราวทันทีว่าผู้คุมกฎคนหนึ่งในสำนักจับกุมตัวซูเสว่หลันได้

แต่ทว่าถังกู่สงกำลังเยี่ยมเยียนผู้แข็งแกร่งบางส่วน จึงเสียเวลาอยู่กับเรื่องนี้ชั่วคราว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าแค่เสียเวลาอยู่ที่นี่เพียงครู่เดียว ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแล้ว

……

หลังจากที่ออกมาจากเวทีประลองยุทธ์ เดิมทีหลัวซิววางแผนที่จะหาโรงเตี๊ยมในเมืองเสว่น่า ทว่าเนื่องจากการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะ จึงมีจอมยุทธ์จากดินแดนต่าง ๆ มารวมตัวกันในเมืองเสว่น่า โรงเตี๊ยมทั้งหลายล้วนเต็มหมดแล้ว

อันที่จริงโรงเตี๊ยมที่กล่าวถึงนั้น คือห้องลับที่ให้จอมยุทธ์ปิดขัง เมืองเสว่น่าในปัจจุบันไม่สามารถสนองความต้องการ จอมยุทธ์ส่วนมากไม่มีที่พักในตัวเมือง จึงล้วนรวมตัวกันอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับเมืองเสว่น่า

หลัวซิวต้องทราบอยู่แล้วว่าจะออกจากเมืองเสว่น่าตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถังกู่สงหวาดกลัวกฎเกณฑ์ในเมืองจึงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม แต่ถ้าเกิดออกไปจากเมืองแห่งนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หลัวซิวก็หยิบไข่มุกสื่อสารออกมา ก่อนจะส่งข่าวคราวออกไปหนึ่งข่าว

เขาที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยรู้จักผู้คนมากเท่าไหร่นัก ซึ่งผู้ที่เขาส่งข่าวไปให้ย่อมต้องเป็นลิ่งฮู๋จื่อเซวียนอยู่แล้ว เจ้าหมอนั่นค่อนข้างมีภูมิหลัง บางทีอาจจะมีเส้นสายอยู่ในเมืองเสว่น่าบ้าง

“เรารอเขาอยู่ที่นี่เถอะ”

ในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียง หลัวซิวเดินไปหาที่นั่งหนึ่งที่ ผ่านไปไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในประตูใหญ่ของภัตตาคาร ซึ่งคนดังกล่าวก็คือลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นเอง

“สหายหลัว เจ้าตามหาข้าหรือ?”

ทันทีที่เข้ามาลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็มองเห็นหลัวซิวเลย ก่อนจะเดินเข้ามาถามอย่างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

“ข้าไม่เจอสถานที่พักในตัวเมือง จึงอยากรบกวนสหายลิ่งฮู๋ช่วยเหลือหน่อย”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ

“เหอะ ๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็คิดว่าตัวสหายหลัวจะสามารถจัดการได้เองซะอีก ข้าเป็นคนคิดไม่รอบคอบเอง”

ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนหัวเราะ สายตามองผ่านทั้งสองคนที่ปรากฏร่างกายหลัวซิว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากเช่นกัน

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ภายใต้การนำพาของลิ่งฮู๋จื่อเซวียน พวกหลัวซิวก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตัวเมือง

โรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่อยู่ในเมืองเสว่น่าไม่ถือเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด แต่ก็ถือเป็นโรงเตี๊ยมระดับสูงอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้หลัวซิวก็เคยมาที่นี่เช่นกัน และได้ยินเจ้าของร้านตอบกลับอย่างชัดเจนเลยว่าไม่มีห้องว่างแล้ว

แต่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนพาพวกเขามาด้วยกัน ลักษณะท่าทีของเจ้าของร้านจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกะทันหัน ไม่เพียงจัดแจงห้องพักให้พวกเขา ยังจัดแจงห้องพักที่ดีที่สุดให้พวกเขาด้วย

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดเป็นห้องที่ดีที่สุด โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่เปิดให้คนนอกเช่า ซึ่งชั้นที่พวกหลัวซิวเดินขึ้นไปก็คือชั้นสาม

เดินจากชั้นสองขึ้นไปถึงชั้นสาม สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือห้องรับแขกหนึ่งห้อง ภายในมีของที่เป็นทำนองเดียวกันกับของลายครามล้ำค่าจัดวางอยู่ การตกแต่งโบราณเรียบง่ายและสวยแบบมีระดับ แต่ก็ดูหรูหราในเวลาเดียวกัน

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลัวซิวกลับเป็นภาพวาดหนึ่งรูปที่แขวนอยู่ในห้องนี้ ภาพวาดดังกล่าวคือชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลเชี่ยวพลางใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้าน แค่ภาพด้านข้างหนึ่งรูป แต่กลับมีออร่าพลังเต๋าที่ล้ำลึกถึงขีดสุดไหลเวียนออกมา

ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่มาถึงที่นี่ ก็ล้วนแต่จะถูกชายบนภาพวาดดึงดูดทั้งนั้น

“สหายหลัวมองอะไรออกบ้างหรือ? นี่คือบรรพบุรุษท่านหนึ่งของตระกูลลิ่งฮู๋เรา”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนยิ้มพลางพูดประโยคหนึ่ง

หลัวซิวก็ยิ้มตอบเช่นกัน แต่ทว่ารอยยิ้มของเขาค่อนข้างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตามลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกลับสังเกตไม่เห็น

ภาพด้านข้างดังกล่าว แม้นจักไม่เห็นใบหน้าตรง หลัวซิวก็ทราบอยู่ว่าคนที่อยู่บนภาพวาดคือผู้ใด ซึ่งเขาก็คือลิ่งฮู๋หวูจี้ที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนนั่นเอง

แต่ว่าสันดานเดิมแก้ยาก หลังจากผ่านการคบค้าสมาคมกันมาช่วงหนึ่ง เจ้าหมอนี่ก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้อีกแล้ว

หากพูดถึงอุปนิสัยละก็ ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนแตกต่างจากบรรพบุรุษของเขาลิ่งฮู๋หวูจี้มาก ๆ เลยล่ะ ลิ่งฮู๋หวูจี้เป็นคนที่ทะนงอย่างยิ่ง บางทีในชีวิตบนวิถียุทธ์ของเขาก็มีเพียงไท่ซ่างฉิงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาเคารพเลื่อมใส

“อีกไม่กี่วันการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนแสดงสีหน้าจริงจังแล้วพูด

“เริ่มอย่างไรหรือ?”แววตาของหลัวซิวเข้มงวดขึ้น สาเหตุหลักที่เขาเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อเข้าไปในแดนเทียนฮวง จึงย่อมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะอยู่แล้ว

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฝั่งเมืองเสว่น่าเป็นเพียงการแข่งขันคัดเลือกรอบแรก มีเพียงการคัดเลือกแท้จริงได้เริ่มต้นขึ้น ถึงจะทราบรายละเอียดรายการทดสอบ”

ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม “ดังนั้นช่วงนี้สหายหลัวก็อย่าออกไปก่อเรื่องอีกเลย ถึงครานั้นอย่าทำให้ตนตกรอบตั้งแต่รอบแรกล่ะ”

แม้นจักพูดเช่นนี้ แต่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนไม่มีทางคิดอยู่แล้วว่าหลัวซิวจะตกรอบตั้งแต่รอบแรก เขาแค่จะย้ำเตือนหลัวซิวว่าอย่าออกไปก่อเรื่องอีก ทุกอย่างต้องมุ่งไปที่การได้เข้าไปในแดนเทียนฮวงเป็นหลัก

ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดลิ่งฮู๋จื่อเซวียนจึงพยายามที่จะเข้าไปในแดนเทียนฮวงให้ได้นั้น เขาก็ไม่เคยบอกเหตุผลตลอดมาเช่นกัน ทว่าจากความเข้าใจของหลัวซิวที่มีต่อเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนี่ หากไม่มีผลประโยชน์อะไร เจ้าหมอนี่ไม่มีทางให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขนาดนี้แน่นอน ถึงครานั้นขอแค่ได้เข้าไปในแดนเทียนฮวง คำถามทุกอย่างย่อมต้องได้รับคำตอบอยู่แล้ว

“ลาร์ เจ้าไปบอกถูโยวหมิงด้วยว่าช่วงนี้อย่าออกจากโรงเตี๊ยม อีกทั้งพาซูเสว่หลันนั่นมาด้วย”หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยปากพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ตอนแรกเริ่มเขาก็ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรซูเสว่หลันเช่นกัน เพราะเขาสามารถดูออกอยู่ว่าถูโยวหมิงยังมีความรู้สึกต่อนางอยู่ ยิ่งกว่านั้นคือตัวถูโยวหมิงเองก็ไม่มีความคิดที่จะขู่เข็ญเอาไฟเทวชิงเทียนกลับมาเช่นกัน

แต่หลัวซิวกลับจำเป็นต้องเอาไฟเทวชิงเทียนกลับมาให้ได้ หากไฟเทวชิงเทียนเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ เช่นนั้นถึงครานั้นเขาจะชดเชยให้ถูโยวหมิงเอง

“เจ้าหมายถึงไฟเทวดวงนั้นหรือ? ของสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในมือข้า”ซูเสว่หลันตอบกลับ

“แม่นางซู ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยว่าอย่าเล่นลูกไม้กับข้าจะดีกว่า แม้นถูโยวหมิงจะเป็นสหายข้า แต่ปัจจุบันระหว่างเจ้าและเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว และข้าก็เชี่ยวชาญวิธีการค้นวิญญาณไม่น้อยเช่นกัน”หลัวซิวขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ากระทั่งวินาทีนี้แล้วซูเสว่หลันนี่ยังปากแข็งอยู่

“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเจ้า ข้ารู้สึกตื้นตันใจมากที่เจ้าช่วยชีวิตข้ากลับมาจากเงื้อมมือสำนักสรรพอสูร แต่ไฟเทวดวงนั้นไม่ได้อยู่ที่ข้าจริง ๆ”ซูเสว่หลันตอบกลับ

“เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาว่าไฟเทวอยู่ที่ใด?”หลัวซิวหรี่ตาลง เขาเขม็งมองดวงตาซูเสว่หลัน และดูออกอยู่ว่านางไม่ได้โกหกจริง ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ