มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2729

หลังจากจัดหาที่ให้หลัวซิวและฮวงหวูจี๋ให้นั่งแล้ว หยุนยี่เทียนก็นั่งลงในที่นั่งของเจ้าของ ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์หลายคนต่างยกถ้วยเหล้าขึ้นทักทายฮวงหวูจี๋

ในฐานะเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณ ผู้คนจำนวนมากต่างก็อยากสนิทกับเขาให้มากกว่านี้

สำหรับหลัวซิว ไม่มีใครสนใจเขาเลย สายตาของท่านชายเทพโลหิตซึ่งมาจากชนเผ่าเฉว่ซ่าดูเหมือนกระบี่หยุดลงบนร่างหลัวซิว

“นางอสูรฟ้าก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ไม่มีค่าพอที่ข้าจะไปประลองยุทธ์ด้วย ในเมื่อเพื่อยุทธ์คนนี้เป็นเพื่อยุทธ์หยุนแนะนำมา จะเห็นได้ว่าต้องมีความสามารถอยู่บ้าง เจ้าและข้าขึ้นไปเวทีประลองยุทธ์เพื่อประลองกันเป็นอย่างไร?”

ทันทีที่ท่านชายเทพโลหิตพูดเช่นนี้ ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูของท่านชายเทพโลหิตที่มีต่อเขา เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ทำให้คนนี้ไม่พอใจ

สีหน้าของฮวงหวูจี๋ก็ไม่น่าดูเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณด้วยตัวสำนึกพูดบางอย่างกับหลัวซิวเพื่อให้หลัวซิวเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ว่าก็เป็นเพราะสำนักเสว่หยูในตอนนั้น สำนักเสว่หยูได้รับการสนับสนุนจากฮวงหวูเต้า แต่เบื้องหลังของสำนักเสว่หยูก็มีเงาของชนเผ่าเฉว่ซ่า และตามที่ฮวงหวูจี๋พูด ฮวงหวูเต้ามีการติดต่อกับท่านชายเทพโลหิตนี้เป็นการส่วนตัวบ่อยๆ

เห็นได้ชัดว่าท่านชายเทพโลหิตผู้นี้น่าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเมืองต้าฮวงโบราณ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นหลัวซิว เขาจึงพูดยั่วยุโดยบอกว่าเป็นการประลอง แต่ถ้าขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ ด้วยเกณฑ์สังหารที่เขาฝึกฝน จะต้องมีเจตนาฆ่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดแน่

“เซวี่ยหยินหยาง เจ้าเก่งก็มาหาเรื่องข้า!”

ฮวงหวูจี๋ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน หลัวซิวมากับเขา ท่านชายเทพโลหิตเลือกจะลงมือที่หลัวซิวซึ่งเป็นการยั่วยุสำหรับเขาเช่นกัน

“ฮวงหวูจี๋ เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ข้าไม่ได้จะประลองกับเจ้า”

เซวี่ยหยินหยางยิ้มเย็นและพูดเสียงเรียบ “แน่นอน ถ้าเพื่อนของเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นไปประลองบนเวที เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งกับผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์อย่างเรา!”

“เจ้า…”

ฮวงหวูจี๋โมโหจัด แต่ก่อนที่เขาจะพูด หลัวซิวยิ้มและพูดว่า “สหายหวูจี๋เหตุใดเจ้าถึงสนใจคนประเภทนี้กันเล่า?”

ขณะที่พูด หลัวซิวมองไปที่ เซวี่ยหยินหยางด้วยสายตาราบเรียบพร้อมพูดว่า “เจ้าเลือกลงมือกับข้าก็เพราะผลการฝึกตนของข้าไม่สูง แต่เจ้าเป็นใคร? เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะประลองกับข้า ข้าก็ต้องประลองกับเจ้ารึ?”

“ถ้าอยากประลองกับข้าก็ได้ งั้นก็เอาสมบัติที่ข้าอยากได้ออกมา ไม่งั้นมาจากไหนก็ไสหัวกลับไปที่นั่นซะ!”

ทันทีที่คำพูดของหลัวซิวพูดออกมา ทุกคนก็ซุบซิบกัน ท่านชายเทพโลหิตโมโหมากจนจับถ้วยเหล้าในมือแตก

“ช่างกล้าพูดนัก! ข้าไม่เคยพบชายที่หยิ่งผยองและจองหองเท่าเจ้ามาก่อน!"

สายตาของท่านชายเทพโลหิตเป็นเหมือนกระบี่ ทันใดนั้นจิตสังหารพุ่งขึ้นมา ศพจำนวนมากของเทพมารลอยอยู่รอบตัวเขา และมีเสียงการร่ำไห้ของวิญญาณที่ถูกฆ่าตาย

ในขณะที่พูด เขาโบกมือ ยันต์หยกก็ถูกโยนออกไป ลอยอยู่กลางอากาศและพูดอย่างเย็นชา “ยันต์หยกนี้เรียกว่ายันต์เทพสงคราม เป็นสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานตระกูลเทพสงครามในสมัยโบราณ ได้กลั่นออกมา มีชื่อเสียงพอๆ กับหอกเทพเจ้าสงครามและเกราะเทพสงคราม หากเจ้าโชคดีจริงๆเอาชนะข้าได้ ยันต์เทพสงครามนี้จะเป็นของเจ้า!”

สำหรับ ท่านชายเทพโลหิต เขาเป็นอัจฉริยะผลการฝึกฝนเทพมารระดับแปด เขามักข้ามแดนท้าทายผู้อื่น ไม่เคยมีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้ ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นเพียงเทพมารระดับหกเล็กๆคนหนึ่ง หากคนๆนี้ชนะเขาก็ต้องเป็นเพราะโชคดีไม่ว่าอย่างนั้นก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่น

“ยันต์เทพสงคราม!”

เมื่อเห็นสมบัติที่ท่านชายเทพโลหิตนำออกมา ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ทุกคนต่างแสดงตัวสำนึกออกมาสำรวจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายันต์เทพสงครามนี้ไม่ใช่สมบัติธรรมดา

“เป็นยันต์เทพสงครามของจริง!”

“ว่ากันว่าหากรวบรวมสมบัติสามชิ้นได้ก็สามารถเปิดสมบัติของตระกูลเทพสงครามที่เหลือลงมาได้ มีสมบัตินับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น!”

“ยันต์เทพแห่งสงครามนี้ยังเป็นของขลังเทพมารระดับเก้าชิ้นหนึ่ง ท่านชายเทพโลหิตช่างร่ำรวยและใจกล้างเสียจริง”

หลัวซิวเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านชายเทพโลหิตจะสามารถเอายันต์เทพสงครามออกมาได้ ตระกูลเทพสงครามในอดีตมีวิชาปราบปรามของตระกูล ซึ่งเป็นเคล็ดเทพสงคราม

ในเคล็ดเทพสงครามได้บันทึกวิธีการกลั่นสมบัติสามอย่าง ได้แก่ ยันต์เทพสงคราม หอกเทพสงคราม และเกราะเทพสงคราม

หน้าที่ของยันต์เทพสงครามคือการล็อคการกระทำของฝ่ายตรงข้าม ทันทีที่ถูกล็อคโดยยันต์เทพสงคราม ปริภูมิรอบตัวจะหยุดนิ่ง ไม่สามารถขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วเดียว ทำได้เพียงเฝ้าดูตัวเองถูกแทงตายด้วยหอก ซึ่งน่าสยดสยองนัก

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละรุ่นที่ผ่านมา ในตระกูลเทพสงคราม ผู้แข็งแกร่งที่สามารถกลั่นสมบัติสามชิ้นออกมาได้ก็มรไม่มากนัก

“แม้ว่ายันต์เทพสงครามนี้จะเป็นของขลังเทพมารระดับเก้า แต่มันถูกหล่อหลอมโดยเทพมารระดับเก้าของตระกูลเทพสงคราม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันสามารถเปิดสมบัติของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแห่งหนึ่งได้!”

ท่านชายเทพโลหิตพูดเสียงดังว่า “ข้าเอาสมบัติหายากเช่นนี้ออกมา แล้วเจ้าสามารถเอาอะไรออกมาได้?”

“ถ้าเจ้าฆ่าข้าตาย สิ่งของทั้งหมดของข้าก็เป็นของเจ้า”

หลัวซิวยิ้มอย่างใจเย็น ในตระกูลเทพสงคราม ผู้ที่สามารถฝึกฝนไปถึงแดนเทพมารระดับเก้าได้นั้น ความแข็งแกร่งก็ไม่ด้อยไปกว่าราชาเทพระดับเก้า หากสามารถได้รับสมบัติของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้า น่าจะถือว่าเป็นโอกาสที่ไม่เลว

และสำหรับหลัวซิวในปัจจุบัน สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดคือโอกาสที่จะบรรลุเทพมารระดับเจ็ด!

ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ บนเวทีประลองยุทธ์การต่อสู้สามครั้งได้จบลง นางอสูรฟ้าสามารถเอาชนะผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ทั้งสามได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ได้ใช้กระบวนท่าเดียว

ในขณะนี้ ยกเว้นท่านชายเทพโลหิตและคนอื่น ๆ ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอสูรฟ้า ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่กล้าขึ้นไปแสดงความอ่อนแอของตนเอง

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขึ้นมา นางอสูรฟ้าบนเวทีประลองยุทธ์ก็รู้สึกเบื่อ นางจึงกระโดดลงจากเวทีประลองยุทธ์

ทันทีที่นางอสูรฟ้าจากไป ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเวทีประลองยุทธ์ และชั่วขณะหนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ