หลังจากจัดหาที่ให้หลัวซิวและฮวงหวูจี๋ให้นั่งแล้ว หยุนยี่เทียนก็นั่งลงในที่นั่งของเจ้าของ ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์หลายคนต่างยกถ้วยเหล้าขึ้นทักทายฮวงหวูจี๋
ในฐานะเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณ ผู้คนจำนวนมากต่างก็อยากสนิทกับเขาให้มากกว่านี้
สำหรับหลัวซิว ไม่มีใครสนใจเขาเลย สายตาของท่านชายเทพโลหิตซึ่งมาจากชนเผ่าเฉว่ซ่าดูเหมือนกระบี่หยุดลงบนร่างหลัวซิว
“นางอสูรฟ้าก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ไม่มีค่าพอที่ข้าจะไปประลองยุทธ์ด้วย ในเมื่อเพื่อยุทธ์คนนี้เป็นเพื่อยุทธ์หยุนแนะนำมา จะเห็นได้ว่าต้องมีความสามารถอยู่บ้าง เจ้าและข้าขึ้นไปเวทีประลองยุทธ์เพื่อประลองกันเป็นอย่างไร?”
ทันทีที่ท่านชายเทพโลหิตพูดเช่นนี้ ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูของท่านชายเทพโลหิตที่มีต่อเขา เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ทำให้คนนี้ไม่พอใจ
สีหน้าของฮวงหวูจี๋ก็ไม่น่าดูเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณด้วยตัวสำนึกพูดบางอย่างกับหลัวซิวเพื่อให้หลัวซิวเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ว่าก็เป็นเพราะสำนักเสว่หยูในตอนนั้น สำนักเสว่หยูได้รับการสนับสนุนจากฮวงหวูเต้า แต่เบื้องหลังของสำนักเสว่หยูก็มีเงาของชนเผ่าเฉว่ซ่า และตามที่ฮวงหวูจี๋พูด ฮวงหวูเต้ามีการติดต่อกับท่านชายเทพโลหิตนี้เป็นการส่วนตัวบ่อยๆ
เห็นได้ชัดว่าท่านชายเทพโลหิตผู้นี้น่าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเมืองต้าฮวงโบราณ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นหลัวซิว เขาจึงพูดยั่วยุโดยบอกว่าเป็นการประลอง แต่ถ้าขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ ด้วยเกณฑ์สังหารที่เขาฝึกฝน จะต้องมีเจตนาฆ่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดแน่
“เซวี่ยหยินหยาง เจ้าเก่งก็มาหาเรื่องข้า!”
ฮวงหวูจี๋ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน หลัวซิวมากับเขา ท่านชายเทพโลหิตเลือกจะลงมือที่หลัวซิวซึ่งเป็นการยั่วยุสำหรับเขาเช่นกัน
“ฮวงหวูจี๋ เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ข้าไม่ได้จะประลองกับเจ้า”
เซวี่ยหยินหยางยิ้มเย็นและพูดเสียงเรียบ “แน่นอน ถ้าเพื่อนของเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นไปประลองบนเวที เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งกับผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์อย่างเรา!”
“เจ้า…”
ฮวงหวูจี๋โมโหจัด แต่ก่อนที่เขาจะพูด หลัวซิวยิ้มและพูดว่า “สหายหวูจี๋เหตุใดเจ้าถึงสนใจคนประเภทนี้กันเล่า?”
ขณะที่พูด หลัวซิวมองไปที่ เซวี่ยหยินหยางด้วยสายตาราบเรียบพร้อมพูดว่า “เจ้าเลือกลงมือกับข้าก็เพราะผลการฝึกตนของข้าไม่สูง แต่เจ้าเป็นใคร? เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะประลองกับข้า ข้าก็ต้องประลองกับเจ้ารึ?”
“ถ้าอยากประลองกับข้าก็ได้ งั้นก็เอาสมบัติที่ข้าอยากได้ออกมา ไม่งั้นมาจากไหนก็ไสหัวกลับไปที่นั่นซะ!”
ทันทีที่คำพูดของหลัวซิวพูดออกมา ทุกคนก็ซุบซิบกัน ท่านชายเทพโลหิตโมโหมากจนจับถ้วยเหล้าในมือแตก
“ช่างกล้าพูดนัก! ข้าไม่เคยพบชายที่หยิ่งผยองและจองหองเท่าเจ้ามาก่อน!"
สายตาของท่านชายเทพโลหิตเป็นเหมือนกระบี่ ทันใดนั้นจิตสังหารพุ่งขึ้นมา ศพจำนวนมากของเทพมารลอยอยู่รอบตัวเขา และมีเสียงการร่ำไห้ของวิญญาณที่ถูกฆ่าตาย
ในขณะที่พูด เขาโบกมือ ยันต์หยกก็ถูกโยนออกไป ลอยอยู่กลางอากาศและพูดอย่างเย็นชา “ยันต์หยกนี้เรียกว่ายันต์เทพสงคราม เป็นสมบัติที่ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานตระกูลเทพสงครามในสมัยโบราณ ได้กลั่นออกมา มีชื่อเสียงพอๆ กับหอกเทพเจ้าสงครามและเกราะเทพสงคราม หากเจ้าโชคดีจริงๆเอาชนะข้าได้ ยันต์เทพสงครามนี้จะเป็นของเจ้า!”
สำหรับ ท่านชายเทพโลหิต เขาเป็นอัจฉริยะผลการฝึกฝนเทพมารระดับแปด เขามักข้ามแดนท้าทายผู้อื่น ไม่เคยมีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้ ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นเพียงเทพมารระดับหกเล็กๆคนหนึ่ง หากคนๆนี้ชนะเขาก็ต้องเป็นเพราะโชคดีไม่ว่าอย่างนั้นก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่น
“ยันต์เทพสงคราม!”
เมื่อเห็นสมบัติที่ท่านชายเทพโลหิตนำออกมา ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ทุกคนต่างแสดงตัวสำนึกออกมาสำรวจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายันต์เทพสงครามนี้ไม่ใช่สมบัติธรรมดา
“เป็นยันต์เทพสงครามของจริง!”
“ว่ากันว่าหากรวบรวมสมบัติสามชิ้นได้ก็สามารถเปิดสมบัติของตระกูลเทพสงครามที่เหลือลงมาได้ มีสมบัตินับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น!”
“ยันต์เทพแห่งสงครามนี้ยังเป็นของขลังเทพมารระดับเก้าชิ้นหนึ่ง ท่านชายเทพโลหิตช่างร่ำรวยและใจกล้างเสียจริง”
หลัวซิวเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านชายเทพโลหิตจะสามารถเอายันต์เทพสงครามออกมาได้ ตระกูลเทพสงครามในอดีตมีวิชาปราบปรามของตระกูล ซึ่งเป็นเคล็ดเทพสงคราม
ในเคล็ดเทพสงครามได้บันทึกวิธีการกลั่นสมบัติสามอย่าง ได้แก่ ยันต์เทพสงคราม หอกเทพสงคราม และเกราะเทพสงคราม
หน้าที่ของยันต์เทพสงครามคือการล็อคการกระทำของฝ่ายตรงข้าม ทันทีที่ถูกล็อคโดยยันต์เทพสงคราม ปริภูมิรอบตัวจะหยุดนิ่ง ไม่สามารถขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วเดียว ทำได้เพียงเฝ้าดูตัวเองถูกแทงตายด้วยหอก ซึ่งน่าสยดสยองนัก
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละรุ่นที่ผ่านมา ในตระกูลเทพสงคราม ผู้แข็งแกร่งที่สามารถกลั่นสมบัติสามชิ้นออกมาได้ก็มรไม่มากนัก
“แม้ว่ายันต์เทพสงครามนี้จะเป็นของขลังเทพมารระดับเก้า แต่มันถูกหล่อหลอมโดยเทพมารระดับเก้าของตระกูลเทพสงคราม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันสามารถเปิดสมบัติของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแห่งหนึ่งได้!”
ท่านชายเทพโลหิตพูดเสียงดังว่า “ข้าเอาสมบัติหายากเช่นนี้ออกมา แล้วเจ้าสามารถเอาอะไรออกมาได้?”
“ถ้าเจ้าฆ่าข้าตาย สิ่งของทั้งหมดของข้าก็เป็นของเจ้า”
หลัวซิวยิ้มอย่างใจเย็น ในตระกูลเทพสงคราม ผู้ที่สามารถฝึกฝนไปถึงแดนเทพมารระดับเก้าได้นั้น ความแข็งแกร่งก็ไม่ด้อยไปกว่าราชาเทพระดับเก้า หากสามารถได้รับสมบัติของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้า น่าจะถือว่าเป็นโอกาสที่ไม่เลว
และสำหรับหลัวซิวในปัจจุบัน สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดคือโอกาสที่จะบรรลุเทพมารระดับเจ็ด!
ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ บนเวทีประลองยุทธ์การต่อสู้สามครั้งได้จบลง นางอสูรฟ้าสามารถเอาชนะผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ทั้งสามได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ได้ใช้กระบวนท่าเดียว
ในขณะนี้ ยกเว้นท่านชายเทพโลหิตและคนอื่น ๆ ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอสูรฟ้า ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่กล้าขึ้นไปแสดงความอ่อนแอของตนเอง
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขึ้นมา นางอสูรฟ้าบนเวทีประลองยุทธ์ก็รู้สึกเบื่อ นางจึงกระโดดลงจากเวทีประลองยุทธ์
ทันทีที่นางอสูรฟ้าจากไป ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเวทีประลองยุทธ์ และชั่วขณะหนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
มาต่อๆ...
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...