มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2739

รูปมนุษย์ญาณเทวในตัวหยั่งรู้ถูกสยบ มันทำให้สีหน้าของหลัวซิวดูไม่ค่อยดีนัก นับตั้งแต่ฝึกฝนเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณได้สำเร็จ วิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ได้เปลี่ยนจากช่องจิตกลายมาเป็นญาณเทว หากใช้เพียงระดับวิญญาณมาตัดสิน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ก็ยังอยู่ในระดับขั้นวิญญาณช่องจิตเหมือนเดิม ไม่สามารถทัดเทียมกับญาณเทวของเขาได้เลย

แต่แม้ว่าจะมีระดับสูง อย่างไรเสียผลการฝึกตนของเขาก็ยังคงต่ำเกินไป อยู่ที่นี่ถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถต้านทานพลังแรงกดดันของวัฏสงสารได้เลยสักนิด

“กร๊อบแกร๊บ! กร๊อบแกร๊บ!......”

เสียงแตกหักดังขึ้นมาเป็นระยะ หลัวซิวพบว่ายันต์ค่ายทั้งเก้าสิบเก้าสายที่สลักอยู่บนร่างของตัวเองเกิดรอยร้าวขึ้น หากเดินหน้าไปอีกสองสามก้าว เกรงว่ายันต์ค่ายทั้งเก้าสิบเก้าสายคงต้องแตกสลายหมดอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นความสามารถของเขาลดลง ในทางกลับกันรัศมีพลังของวัฏสงสารกลับแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นเขาก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก

“วัฏสงสารหรือ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน!”

หลัวซิวตวาดขึ้นมา เงาสะท้อนจิตตั้งบู๊ที่อยู่ด้านหลังของเขาพลันเปลี่ยนไป ภายใต้การขับเคลื่อนวิถีไร้ลักษณ์ ได้กลายเป็นเงาลวงวัฏจักรสูงตระหง่านนับร้อยจั้ง

เขาสร้างวัฏสงสารขึ้นมาโดยใช้วิถีไร้ลักษณ์ ทันใดนั้นก็ได้เกิดการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกลิ่นอายของวัฏสงสารของที่แห่งนี้ แรงสยบได้ลดลงไปอีกหลายเท่าภายในพริบตา

หลัวซิวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง ขณะที่ต้านรับแรงกดดันจากพลังวัฏสงสาร สองมือของเขาก็ขยับอยู่ไม่หยุด พลังอมตะที่ลึกลับอัศจรรย์ต่าง ๆ นานาได้ถูกเขาใช้ออกมา วรยุทธ์อันลึกซึ้งไร้ที่เปรียบชนิดต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาในส่วนลึกของสมอง

วรยุทธ์พลังอมตะที่เขาได้แสดงออกมาพวกนี้ บางอันก็มีระดับต่ำ กระทั่งที่ว่าไม่ถึงแดนเทพมารด้วยซ้ำ แต่บางอันก็มีระดับสูงมาก ตัวอย่างเช่นตราประทับปรปักษ์สวรรค์ หมัดจ้านเทียน หอกโลหิตสังหารสวรรค์ รวมทั้งทะยานเซียนที่สร้างขึ้นโดยจี้หวูชวง!

แต่เดิมวิถีไร้ลักษณ์ก็แปลงเป็นทุกอย่างได้อยู่แล้ว และยิ่งเขาแสดงออกมามาก ก็จะยิ่งทำให้วิถีไร้ลักษณ์ของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตราสรรพสิทธิ์กับสรรพวิถีล้วนว้างสองพลังอมตะใหญ่ของเขา ถึงจะมีอานุภาพทรงพลังยิ่งขึ้น

โดยไม่รู้ตัว หลัวซิวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเดินหน้าไปนานแค่ไหนแล้ว เขารู้สึกเพียงว่าแรงสยบของพลังวัฏสงสารนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แรงกดดันเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตน วิถียุทธ์ ร่างเนื้อ วิญญาณ ต่างก็ได้รับแรงกดดันที่ทรงพลังอย่างสุดขีด

เดิมทีหลัวซิวมีส่วนสูงประมาณ 185 เซนติเมตร ทว่าส่วนสูงในตอนนี้ของเขากลับไม่ถึง 150 เซนติเมตร นั่นก็เพราะแรงกดดันในที่แห่งนี้แข็งแกร่ง ขนาดที่ว่ากดทับจนร่างกายของเขาหดเล็กลง

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่การที่ร่างกายหดเล็กลง กลับทำให้ร่างเนื้อของเขามีความหนาแน่นขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

“พลังวัฏสงสารกลั่นแปรไม่ได้หรืออย่างไร?”

เห็นว่าตนเองใกล้ถึงขีดสุดเข้ามาเรื่อย ๆ ดวงตาของหลัวซิวพลันเปล่งประกายขึ้นมา รูขุมขนทั่วร่างกายได้เปิดออกจนหมด และได้ดูดซับพลังแห่งกฎซึ่งกระจายอยู่ในที่แห่งนี้เข้าสู่ร่างกายเอง!

“พรึบ!”

เปลวเพลิงอันแรงกล้าได้ลุกโชนขึ้นมาบนร่างกายของเขา เขาต้องการกลั่นแปรพลังแห่งวัฏสงสารเพื่อนำมาใช้ ซึ่งเหนือขีดจำกัดในปัจจุบัน!

“ครืนนนน......”

ในตอนนี้เอง ทั่วทั้งห้วงดาราได้สั่นสะเทือนขึ้นมา เหมือนว่าการที่หลัวซิวต้องการกลั่นแปรพลังวัฏสงสารนั้น ได้ทำให้เจตจำนงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันของที่นี่โมโห พลังวัฏสงสารที่ไร้ขอบเขตรวบรวมกันเข้ามา แรงกดดันยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาเรื่อย ๆ

กลุ่มเมฆที่เกิดจากการรวมตัวของพลังวัฏสงสาร ได้เกาะกลุ่มอยู่เหนือศีรษะของหลัวซิว เหมือนดั่งทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ

ในพลังวัฏสงสารที่รวมตัวกันอยู่ทางด้านนี้ เงาร่างแปดร่างปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง เหมือนว่ามีดวงตาสิบหกดวง สายตาจับจ้องมาที่ร่างของหลัวซิว ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

“จ้าววัฏสงสารทั้งแปดยุค!”

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนศีรษะ วินาทีที่เงาร่างทั้งแปดปรากฏขึ้น ทำให้หัวใจและวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เขาก็สามารถมั่นใจการคาดเดาของตัวเองได้แล้ว พลังวัฏสงสารที่กระจายอยู่ในห้วงดาราแห่งนี้ น่าจะเป็นจ้าววัฏสงสารยุคที่แปดทิ้งเอาไว้

เพราะว่ามีเพียงในรัศมีพลังเต๋าของจ้าววัฏสงสารยุคที่แปด ถึงจะสามารถผนึกรวมเงาลวงจิตตั้งของจ้าววัฏสงสารทั้งแปดยุคได้ เพราะจ้าววัฏสงสารยุคที่แปดได้สืบทอดการถ่ายทอดของจ้าววัฏสงสารทั้งเจ็ดยุค!

ถ้าหากเป็นจ้าววัฏสงสารยุคที่เจ็ด เช่นนั้นในพลังเต๋าของเขา น่าจะซ่อนแฝงจิตตั้งของจ้าววัฏสงสารยุคหนึ่งถึงเจ็ดถึงจะถูก

เพียงชั่วพริบตา หลัวซิวก็ได้คิดเชื่อมต่อไปมากมาย การเสื่อมสลายของตระกูลเทพสงคราม ได้เริ่มหลังจากมหันตภัยพรากชีวีที่จ้าววัฏสงสารยุคที่แปดปกครองบรรดาทวยเทพ

สงครามพ้นพิบัติในตอนนั้น ผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าขึ้นไป ได้เข้าร่วมการต่อสู้เกือบทั้งหมด

“ข้าเข้าใจแล้ว!”

ลำแสงแห่งความฉลาดเฉียบแหลมปรากฏขึ้นมาในดวงตาของหลัวซิว “ห้วงดาราที่ผนึกอยู่ด้านหลังประตูหินแห่งนี้ เป็นสถานที่ฝังศพของจ้าววัฏสงสารยุคที่แปด!”

“สำหรับเจ้าของของถ้ำปริศนาแห่งนั้น นั่นก็คือผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าของตระกูลเทพสงคราม และก็คือผู้ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์สถานที่แห่งนี้!”

เมื่อปะติดปะต่อเงื่อนงำทั้งหมดเข้าด้วยกัน หลัวซิวก็รู้สึกว่าความสงสัยมากมายภายในใจได้คลี่คลายแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือจะต้องต้านทานเทวทัณฑ์ของจิตตั้งจ้าววัฏสงสารยุคที่แปดให้ได้!

เขาต้องการกลั่นแปลพลังวัฏสงสาร ถือเป็นการไม่เคารพจ้าววัฏสงสาร จึงทำให้จิตตั้งของจ้าววัฏสงสารทั้งแปดยุคปรากฏขึ้น เพื่อต้องการลงเทวทัณฑ์เขา แสดงให้เห็นว่าความยิ่งใหญ่ของจ้าววัฏสงสารไม่อาจดูหมิ่นและล่วงเกิน!

“พรึบ!”

ช่องอากาศสั่งสะเทือน จ้าววัฏสงสารทั้งแปดยุคได้ลงมือแล้ว แม้จะเป็นเงาลวงที่เกิดจากจิตตั้ง ที่มีการปลุกเสกเบิกเนตรของพลังวัฏสงสารของที่นี่อยู่ ก็เพียงพอที่จะทัดเทียมได้กับอานุภาพการลงมือของเทพมารระดับเก้าแปดท่าน

เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นหลัวซิวก็ไม่กล้าประเมินศัตรูต่ำไป เขาเซ่นเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมาทันที เกณฑ์อัคคีเทพพรสวรรค์ไหลย้อยลงมา ปกป้องร่างกายทั้งหมดเอาไว้

“ตึง! ตึง! ตึง!”

หลังจากเงาลวงของจ้าววัฏสงสารทั้งแปดสลายไป หลัวซิวเองก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดไหลทั่วร่าง

บนเตากลั่นนภาจื่อเซียวก็เต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหาย แต่เตาเซียนนี้เป็นภัณฑ์เซียนพรสวรรค์ มันจะซ่อมแซมความเสียหายเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลว่ามันจะพังเพราะศึกในครั้งนี้

หลังจากการต่อสู้ หลัวซิวก็พบว่าพลังวัฏสงสารที่กระจายอยู่ในที่แห่งนี้ได้อ่อนแอลงไปหลายส่วน เขาหันกลับไปมองดู พบว่าประตูหินที่เขาใช้เข้ามาที่นี่ได้ปิดลงแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า จะต้องเป็นคนที่มีสมบัติเทพสงครามทั้งสาม ถึงจะสามารถใช้ประตูหินเข้ามาในห้วงดาราแห่งนี้ได้

ในตอนที่เข้ามาเขาก็ได้เก็บสมบัติทั้งสามชิ้นเข้าแหวนเก็บของไปอีกครั้งแล้ว จากวิชาห้ามค่ายกลอันร้ายกาจที่อยู่บนประตูหิน ไม่มีความสามารถของราชาเทพระดับเก้าขึ้นไป อย่าหวังว่าจะบุกเข้ามาได้

เมื่อไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว หลัวซิวก็เดินหน้าต่อไป

“หลัวซิวล่ะ?”

บนชั้นสามของหอคอยเทว หลังจากบรรดาเทพมารระดับเก้าได้ต่อสู้กันเสร็จสรรพ ต่างคนต่างก็ได้หยุดมือลง

อย่างไรเสียมีผลการฝึกตนมาถึงระดับอย่างพวกเขา น้อยมาแล้วที่จะมีการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ภายใต้ฝีมือที่ไม่แตกต่างกันนัก หากต่อสู้เอาเป็นเอาตายขึ้นมา ต่อให้สามารถเอาชีวิตของคู่ต่อสู้ได้ ตัวเองก็ต้องบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน ใช้เวลาแสนนานก็ใช่ว่าจะสามารถฟื้นฟูดังเดิมได้ หากรากฐานได้รับบาดเจ็บ บางทีการฝึกตนของชาตินี้อาจหยุดอยู่เพียงเท่านั้น มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

ฮู๋ชิงชิงยืนอยู่ด้านหลังของยู่ช่าโหมวจวิน ส่วนป้ายบัญชาการถ้ำนั้นก็ยังคงลอยอยู่ที่เดิม นางยังไม่ทันกลั่นแปรเสร็จสมบูรณ์ ก็ได้ถูกเทพมารระดับเก้าของกองกำลังอื่นขัดจังหวะเสียก่อน

ส่วนยู่ช่าโหมวจวินนั้นก็จนปัญญา แม้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมารจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นสามารถเป็นปรปักษ์กับแดนศักดิ์สิทธิ์สำนักตระกูลทั่วทั้งโลกร้างได้

ผู้ที่เข้าหอคอยเทวมาก่อนเทพมารระดับเก้าทุกท่านนั้น มีเพียงหยุนยี่เทียน ฮวงหวูจี๋ ฮู๋ชิงชิง รวมทั้งหลัวซิวทั้งหมดสี่คนเท่านั้น หลังจากตู๋กููเทียนหยาได้พ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของหลัวซิว ก็ได้ออกไปจากที่นี่แล้ว

ตอนนี้หยุนยี่เทียน ฮวงหวูจี๋ ฮู๋ชิงชิงล้วนอยู่ที่นี่ มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่หายไป

เผชิญหน้ากับคำถามของบรรดาเทพมารระดับเก้า ฮู่ชิงชิงไม่ได้กล่าวใด ๆ ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากได้สบตากัน ต่างก็อดที่จะเปิดเผยเรื่องของหลัวซิวออกมาเอาไว้ได้

ประตูหินบานนั้นที่อยู่ในส่วนลึกของชั้นสาม แน่นอนว่าพวกเขาเองก็มองเห็นแล้ว และรู้ว่าหลัวซิวได้เข้าไปด้านใน

“หึ เจ้าผีน้อยทั้งสาม คิดว่าตัวเองไม่พูด แล้วข้าจะไม่รู้หรืออย่างไร?”

ชายชราผู้หนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา มีสีหน้าเย้ยหยัน ยกมือชี้ไปที่ประตูหินบานนั้น “หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เจ้าหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวผู้นั้น ต้องเข้าไปด้านในแล้วแน่!”

“ถูกต้อง ข้าเองก็คิดเช่นนั้น มันไม่ได้ไปออกไปจากหอคอยเทว บริเวณทั้งสามชั้นต่างก็หาไม่เจอ นอกจากตรงนี้แล้ว ก็ไม่มีที่ไหนให้มันไปได้อีก” เลี่ยโหวเจินจวินกล่าวเสียงเข้ม

  

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ