บางคนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่แรกเริ่มไม่รู้ว่าควรจะดึงมันออกมาใช้อย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ พรสวรรค์เหล่านี้ก็จะปรากฏออกมา และระดับความสามารถก็จะถูกพัฒนาขึ้น
นางรู้สึกว่าหลัวซิวน่าจะเป็นลูกศิษย์ประเภทนี้ หากเป็นต้นกล้าพันธุ์ดีจริง ๆ ก็ควรได้รับการบ่มเพาะที่เหมาะสม
เมื่อเทียบกับบรรดาผู้ลากมากดีที่มาจากตระกูลขุนนาง ลู่เมิ่งเหยามักจะให้ความสำคัญกับคนธรรมดาสามัญมากกว่า เป็นเพราะพวกเขาอยากมีอนาคตที่ดีขึ้น จึงเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามให้กับการบำเพ็ญตนมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า ความเพียรพยายามเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ที่มาจากตระกูลผู้ลากมากดีทุกคนจะทำได้
เมื่อถูกลู่เมิ่งเหยาจ้องมอง หลัวซิวก็รู้สึกประหม่า ลูกศิษย์ที่อยู่นอกสายตามาโดยตลอดอย่างเขา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับความสนใจจากอาจารย์
“การต่อสู้กันระหว่างลูกศิษย์ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ ข้าก็ไม่ควรที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง” ลู่เมิ่งเหยาเบนสายตากลับมา แล้วกวาดตามองทุกคน จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก : “แต่ความเท่าเทียมและความยุติธรรมของสำนักยุทธ์ จะปล่อยให้ใครมาดูถูกเหยียดหยามไม่ได้เช่นกัน”
สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่จางห่าย “ถ้าหากเจ้าคิดจะต่อสู้กับหลัวซิว ข้าเองก็ไม่คิดจะโต้แย้ง การทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนหลังจากนี้ ถ้าหากหลัวซิวสามารถเข้าไปอยู่ในชั้นกลางได้ ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก แต่ตอนนี้ เจ้าจงรีบไสหัวกลับไปฝึกตนเดี๋ยวนี้ !”
ตอนนี้ทุกคนล้วนตีความออกว่า อาจารย์สาวสวยผู้มีรูปร่างอันเร่าร้อน แต่มีนิสัยที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งผู้นี้ กำลังเข้าข้างหลัวซิว
ในสำนักยุทธ์ การที่ลูกศิษย์ในชั้นสูงและชั้นกลางรังแกลูกศิษย์ชั้นต้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ จางเจี๋ยกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ในชั้นต้น ก็เป็นเพราะเขารู้ดีว่ามีจางห่ายคอยหนุนหลังเขาอยู่ โดยปกติแล้ว หากไม่วิวาทกันจนถึงแก่ชีวิต อาจารย์ในสำนักยุทธ์เองก็มักจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
มีคนจำนวนไม่น้อยหันมองหลัวซิวด้วยแววตาอิจฉา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเมื่อสองสามวันก่อน เด็กคนนี้สามารถเอาชนะจางเจี๋ยได้ จึงกลายเป็นจุดเด่นและดึงดูดความสนใจจากอาจารย์ได้
จางห่ายกำหมัดแน่น เขารู้สึกไม่เต็มใจนักที่ไม่สามารถลงมือจัดการหลัวซิวให้ราบคาบเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้
แต่ถึงแม้เขาจะมีความกล้าสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่กล้าขัดต่อเจตนาของลู่เมิ่งเหยาอยู่ดี เพราะในสำนักยุทธ์มีคำร่ำลือมายาวนานว่า อาจารย์ลู่ผู้นี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา อาจารย์ท่านอื่น ๆ ในสำนักยุทธ์ หรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์เอง ล้วนแล้วแต่แสดงความเกรงใจต่อนางอย่างมาก
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกสามเดือนให้หลัง ข้าจะมาคิดบัญชีกับเขา !” จางห่ายจ้องหลัวซิวตาเขม็ง จากนั้นจึงหันไปคารวะลู่เมิ่งเหยา แล้วเดินจากไป
การปรากฏตัวของลู่เมิ่งเหยา ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงทันที แต่ทุกคนรู้ดีว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ
จางห่ายมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 ส่วนหลัวซิวเองถึงแม้สามเดือนให้หลังจะสามารถผ่านการทดสอบเข้าสู่ชั้นกลางได้ แต่อย่างมากก็อยู่เพียงแค่ระดับการกลั่นร่างขั้น5เท่านั้น อย่างไรเสียทั้งสองก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มาก
“ขอบคุณครับอาจารย์ลู่” หลัวซิวหันไปกล่าวแสดงความขอบคุณต่อลู่เมิ่งเหยา
ต่อให้ต่อสู้กันขึ้นมาจริง ๆ เขาเองก็ไม่เกรงกลัวจางห่าย แต่เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ลู่ผู้นี้เข้าข้างเขาจริง ๆ หลัวซิวจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ลู่เมิ่งเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “สามารถรวบรวมพลังได้ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ได้ ถือว่าเจ้าเองก็มีความสามารถพอตัว จงฝึกตนให้ดี และผ่านการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้าไปให้ได้”
ถ้าหากความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวยังเป็นอย่างเช่นแต่ก่อน คงไม่มีทางผ่านการทดสอบไปได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าการทดสอบกำลังใกล้เข้ามา และเขาสามารถสะสมพลังจนสามารถผ่านระดับที่บรรลุถึงไปได้ถึง2ระดับ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกสนใจและให้ความช่วยเหลือเขา
เพราะในความเห็นของนางแล้ว หากหลัวซิวถูกจางห่ายทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เรื่องที่จะผ่านการทดสอบในอีกสามเดือนให้หลัง นับว่าเป็นไปไม่ได้เลย
แน่นอนว่า ตอนนี้ลู่เมิ่งเหยายังไม่มั่นใจนักว่าหลัวซิวจะเป็นต้นกล้าชั้นดีที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ นอกเสียจากว่าเขาจะยังคงรักษาระดับความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้เอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงเป็นได้แค่ดอกไม้ที่บานเพียงชั่วคราวและโรยราลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...
รอต่อไปครับ...