มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 99

เย่เซี่ยงโต่วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สมาชิกในแก๊งนักล่าอสูรแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือผู้มีพรสวรรค์ และอีกประเภทคือสรรหาจากภายนอก”

“อย่างเช่นเราจัดเป็นพวกสรรหาจากภายนอก ในปีนั้นที่เราเข้าสู่แดนฝึกจิตแล้วจึงถูกเชิญเข้าสู่แก๊งนักล่าอสูร เมื่อผ่านการยืนยันจากแก๊งแล้วว่าเราไม่ได้เป็นพวกสอดแนมจากสำนักอื่น เราถึงจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งนักล่าอสูร”

“ส่วนผู้มีพรสวรรค์ก็คือคนประเภทเดียวกับเจ้า ความสามารถสูง มีศักยภาพเพียงพอที่จะฝึกฝน ชาติกำเนิดเบื้องหลังก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ขอเพียงเติบใหญ่ขึ้นมา อนาคตก็จะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า สถานะในแก๊งจะใหญ่โตมากกว่าผู้ที่สรรหามาจากภายนอกอย่างพวกเรามาก”

“ได้เป็นสมาชิกภายในแก๊งนักล่าอสูร มีข้อดีอย่างไร” หลัวซิวกล่าวถามตามตรง

เย่เซี่ยงโต่วไม่ได้ถือสาการถามอย่างตรงไปตรงมาของหลัวซิว เพียงอธิบายต่อไปว่า “จากการประเมินของท่านหัวหน้าแก๊งกลุ่มย่อยแล้ว ระดับพรสวรรค์ของเจ้าอยู่ในขั้นเหลืองระดับล่าง ขอเพียงเจ้ายอมเป็นสมาชิกแก๊ง ข้อดีแรกคือ แก๊งจะคุ้มครองครอบครัวของเจ้าให้ปลอดภัย”

“เพราะการเติบโตของผู้มีพรสวรรค์จะต้องผ่านการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ แน่นอนย่อมเกิดคู่อริอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นแก๊งจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบให้เจ้าพัฒนาฝึกฝนได้อย่างไร้ความกังวล”

“แน่นอนว่านอกจากเรื่องนี้ ยังขึ้นอยู่กับระดับของผู้มีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน การดูแลก็ย่อมแตกต่างกันด้วย”

“ผู้มีพรสวรรค์ระดับขั้นเหลืองระดับล่าง สามารถได้รับการฝึกวิชายุทธ์ที่เหมาะสมสามวิชา นั่นคือ กำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง ตอนนี้เจ้าเป็นชี่ไห่ขั้น 3 จะได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ 5 สามวิชา”

“หากเจ้ามีวิชายุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว สามารถเลือกที่จะรักษาโอกาสคราวนี้เอาไว้ได้ จนกระทั่งเจ้าฝึกตนถึงพรสวรรค์ขั้น 1 และต้องเลือกวิชายุทธ์ระดับ 6 หรือไปถึงพรสวรรค์ขั้น 7 และต้องเลือกวิชายุทธ์ระดับ 7”

ได้ยินเช่นนี้หลัวซิวพลันชะงัก “พรสวรรค์ขั้น 7 สามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ 7 ได้หรือ”

เพราะจากที่เขาเคยรู้ ผู้สืบทอดวิชายุทธ์ระดับ 6 ในสำนักเซียวเหยาจะต้องอยู่ในแดนฝึกจิตหรือเป็นลูกศิษย์หลัก ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 7 ยิ่งจะต้องเป็นสายเลือดของเจ้าสำนักเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการฝึกตน”

เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า “นี่คือความแตกต่างระหว่างสมาชิกผู้มีพรสวรรค์กับสมาชิกสรรหาจากภายนอก สมาชิกผู้มีพรสวรรค์จะได้รับการยกย่องมากกว่าผู้สรรหาภายนอก”

“แต่ว่าในทุกๆ ปี แก๊งจะต้องทำการตัดสินขั้นของผู้มีพรสวรรค์ใหม่ หากเจ้าไม่สามารถทำให้พวกเขาพอใจได้ เขาก็จะไม่ฝึกฝนเจ้าต่อ” เย่เซี่ยงโต่วอธิบายเพิ่มเติม

“ขั้นของผู้มีพรสวรรค์และวิธีการตัดสินมีมาตรฐานอย่างไร” หลัวซิวอดที่จะถามไม่ได้

“ขั้นของผู้มีพรสวรรค์ในแก๊งแบ่งออกเป็นฟ้า ดิน ดำ เหลือง ทั้งหมด 4 ขั้น ในแต่ละขั้นจะแบ่งออกเป็นระดับย่อยๆ อีกคือระดับล่าง ระดับกลางและระดับสูง”

“สำหรับเด็กหนุ่มอายุ 14 ปีอย่างเจ้า ถือว่าเป็นชี่ไห่ระดับ 7 และบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 5 แล้วถึงถูกประเมินให้อยู่ในขั้นเหลืองระดับล่าง ส่วนการที่ชี่ไห่ระดับ 3 อย่างเจ้าได้รับการประเมินเช่นนี้เป็นเพราะผลงานการต่อสู้ของเจ้าที่เท่ากับวิชาชี่ไห่ระดับ 7 และมีพลังวิชายุทธ์ระดับ 5 ดังนั้นจึงพอที่จะได้รับการประเมินในขั้นขั้นเหลืองระดับล่าง”

ได้ยินดังนั้นหลัวซิวสูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่รู้ตัว มาตรฐานในการคัดเลือกสมาชิกเข้าแก๊งนักล่าอสูรนั้นสูงมากทีเดียว

ตามที่เขารู้ เด็กอายุสิบสี่ปีที่สำเร็จวิชาชี่ไห่ขั้น 7 แม้แต่ลูกศิษย์หลักภายในสำนักเซียวเหยาเองยังไม่เคยปรากฏ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 5 ไม่เพียงมีมาตรฐานในการฝึกตนสูงเท่านั้น ความสามารถพิเศษในการฝึกยุทธ์ยังต้องสูงด้วยเช่นกัน

“อีกหนึ่งปีต่อจากนี้ เจ้าก็จะมีอายุครบสิบห้าปี เจ้าต้องสำเร็จแดนพรสวรรค์และบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 6 หากเจ้าไม่อาจฝึกตนได้ตามความต้องการ แต่มีพลังถึงตามความต้องการก็ถือว่าได้เช่นกัน”

“และนี่เป็นเพียงความต้องการในขั้นขั้นเหลืองระดับล่าง ยิ่งระดับของผู้มีพรสวรรค์ที่สูงขึ้น ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะยิ่งมากยิ่งขึ้น”

“เช่นเดียวกันมาตรฐานของเด็กอายุสิบสี่ที่จะเลื่อนสู่ขั้นเหลืองระดับกลาง คือสำเร็จชี่ไห่ขั้น 9 บรรลุวิชายุทธ์ระดับ 5 อย่างสมบูรณ์ ส่วนความต้องการของการเป็นขั้นเหลืองระดับสูงคือพรสวรรค์ระยะเริ่มต้น และบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 6 ส่วนขั้นที่สูงขึ้นอีกอย่างขั้นดำ ขั้นดินและขั้นฟ้านั้น แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน”

ระหว่างที่อธิบาย เย่เซี่ยงโต่วก็หยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มนั้นออกมาแล้วเอ่ยอีกว่า “หากเจ้ายินดีเป็นสมาชิกของแก๊งนักล่าอสูรแล้ว ตามกฎแล้วแก๊งจะดูแลความปลอดภัยของครอบครัวเจ้า ดังนั้นของตอบแทนของเจ้าจึงไม่จำเป็นอีก ดังนั้นเราขอคืนกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ให้กับเจ้า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ