ในช่วงเวลานี้มู่เซิ่ง กำลังเก็บรวบรวมพวกหนังสือบู๊โบราณเหล่านี้อยู่จริง ๆ
การที่เขารวบรวมหนังสือเหล่านี้นั้น เพื่อใช้ในการค้นคว้าประกอบข้อมูลเป็นส่วนใหญ่
ตำราทองตำนานเสวียนนั้นยอดเยี่ยมมาก และอธิบายทุกอย่างโดยละเอียดเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ ศิลปะการต่อสู้ ฯลฯ แต่ตำราทองตำนานเสวียนนั้น มีเพียงสองเล่ม ตอนนี้ มู่เซิงได้อ่านเกือบทุกอย่างแล้ว บนนั้นและเขายังต้องการค้นหาหนังสือโบราณอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
ขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเขา ก็ได้รับหนึ่งข้อความ
“คุณมู่ วันที่สิบสี่เดือนสิบ ขอเชิญคุณมาพบปะสังสรรค์ที่คฤหาสน์ไห่ว่าย----กลุ่มพันธมิตรนักเสวียน”
หลังจากที่เห็นอักษรคำลงท้ายนั้นแล้ว มู่เซิ่งก็หรี่ตาลง กลิ่นอายลมหายใจรอบกาย ก็พวยพุ่งขึ้นในทันที
กลุ่มพันธมิตรนักเสวียน?
ฝ่ายที่เชื้อเชิญเขานั้น ไม่นึกว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรนักเสวียนในตำนาน แต่ว่า กลุ่มพันธมิตรนักเสวียนนี้ รู้ได้อย่างไรว่าเขาได้เข้าสู่แดนนักเสวียนแล้ว?
มู่เซิ่งขมวดคิ้วขึ้น เหตุการณ์ในการเข้าร่วมประลองยุทธ์นั้น เขาได้สั่งให้เหยาเผิงบอกพวกผู้ยิ่งใหญ่มีอิทธิพลเหล่านั้นแล้วว่า ห้ามไปเผยแพร่อย่างเด็ดขาด เชื่อว่าพวกประธานบริษัทรวมถึงเจ้าบ้านตระกูลเหล่านั้น คงจะไม่กล้าพูดออกไปแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วพวกกลุ่มพันธมิตรนักเสวียน ไปรับรู้เรื่องราวดังกล่าวมาจากที่ไหนล่ะ ว่ามู่เซิ่งได้เข้าสู่ระดับนักเสวียนแล้ว?
ในใจก็คาดเดาไปต่างๆ นา ๆ ท้ายที่สุดมู่เซิ่งก็ไม่ไปคิดอะไรมากแล้ว จึงลบข้อความนี้ทิ้ง
ไม่ว่าอย่างไร เมื่อถึงวันที่สิบสี่เดือนสิบ ไปเข้าร่วมงานที่คฤหาสน์ไห่ว่าย ก็รู้แล้ว
นอกจากนี้มู่เซิ่งยังได้ยินมาว่ากลุ่มพันธมิตรนักเสวียนสามารถแลกเปลี่ยนปณิธานระหว่างกันได้ ซึ่งช่วยเหลือนักเสวียนได้อย่างมากทีเดียว ซึ่งเขากำลังอยากที่จะไปค้นหาคำตอบให้ชัดเจน
หลังจากที่การประลองยุทธ์ครั้งนี้ได้สิ้นสุดลง
การค้าในต่างประเทศ ก็ดำเนินกิจการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
มู่เซิ่งก็ยังไปตรวจดูเครื่องประดับที่ร้านอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เพื่อฆ่าเวลา แล้วก็หาเวลาว่างโทรศัพท์ไปหาเจียงหว่าน เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์ที่เจียงหนาน
แม้ว่าตอนนี้เจียงหว่านจะตกเป็นเป้าหมายรังแกของเจียงมู่หลงอย่างต่อเนื่อง สถานภาพของบริษัทไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ สิ่งนี้ทำให้เจียงมู่หลงปวดศีรษะอย่างมาก เพราะพวกเขาทำสงครามราคา เป็นไม้ตายที่ทำลายฝ่ายตรงข้ามบางส่วนแต่กลับสร้างความเสียหายต่อตนเองมากกว่า หากยืนหยัดทำแบบนี้ต่อไป บริษัทของพวกเขาก็คงจะต้องขาดทุนอย่างหนักแน่นอน
แม้ว่าคนลึกลับนั้นจะให้เงินตนเองมาพันล้าน แต่ถ้าเขาใช้เงินพันล้านขาดทุนไปจนหมดเกลี้ยง ก็เกรงว่าตนเองก็คงจะจบเห่เช่นกัน
การยืนหยัดของเจียงหว่าน ทำให้เจียงมู่หลงเริ่มลังเลใจ ถึงขนาดที่เริ่มเพิ่มราคาโครงการความร่วมมือขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ทำให้เจียงหว่านพอจะมองเห็นโอกาสได้บ้าง จึงรีบนำทีมงานในบริษัท เริ่มโจมตีกลับทันที
มู่เซิ่งเพิ่งจะเข้ามาที่บริษัท ก็ได้ยินเลขามิโนยิเดินเข้ามาและพูดว่า: “คุณมู่ ด้านนอกมีคนต้องการพบ”
มู่เซิ่งโบกมือ บอกให้เขาเข้ามา
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ คนที่เดินเข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่น ไม่นึกว่าจะเป็นลูกสาวของคุณวิลเลี่ยม ที่ชื่อว่าเวยปิงเอ๋อร์
ดูเหมือนว่าเวยปิงเอ๋อร์เพิ่งจะตื่นนอน สวมใส่เสื้อผ้าสีชมพู แต่งกายอย่างงดงาม ท่วงท่าก้าวเดินคล่องแคล่วว่องไว เสื้อผ้าที่กระชับกับร่างกาย ทำให้ส่วนของร่างกายที่อิ่มเอิบนั้น ผสมรวมเป็นรูปทรงที่โดดเด่นออกมา
พูดถึงเฉพาะรูปร่างหน้าตาแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับคุณมิโนยิ ก็ยังถือว่าดูดีกว่าระดับหนึ่ง
“พี่มู่”
หลังจากที่เดินเข้ามา มองเห็นมู่เซิ่ง เวยปิงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าท่าทางดีใจ ขณะที่เอ่ยปากเรียกขึ้นนั้น ก็ได้ยื่นมือออกมาเพื่อจะดึงแขนของมู่เซิ่งเอาไว้ด้วย
มู่เซิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอนตัวหลบมือของเวยปิงเอ๋อร์
“พี่มู่” เวยปิงเอ๋อร์ไม่ยอมสละโอกาส คิดที่จะยื่นมือออกไปคล้องแขนของมู่เซิ่งอีก ด้วยท่วงท่าที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเผยให้เห็นช่วงไหล่ที่ขาวนวล และส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอีกด้วย
“เวยปิงเอ๋อร์ คุณมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ? ”
หลังจากที่หลบหลีกได้อีกครั้งแล้ว มู่เซิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามขึ้น
หญิงสาวคนนี้ มาหาถึงที่โดยไร้เหตุผล ก็เพื่อที่จะจับมือของตนเองน่ะเหรอ?
“พี่มู่ ฉันเพิ่งจะมาที่เมืองเยียนจิง จึงไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้นัก ดังนั้นอยากที่จะให้คุณพาฉันไปเดินชมบริเวณโดยรอบสักหน่อย พร้อมกับถือโอกาสปรึกษาปัญหาทางด้านการกลั่นยากับคุณเล็กน้อยด้วย”
“เพราะว่า คนอย่างพี่มู่ที่มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปี ก็มีพรสวรรค์ด้านหารกลั่นยาที่สูงส่งขนาดนี้ ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...