หลังจากที่มู่เฉินเทียนขึ้นมาเป็นเจ้าบ้านมู่แล้ว ก็มีเวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ที่กดขี่จนมู่จงหยุนโงหัวไม่ขึ้น
ดังนั้น ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้มู่จงหยุนโกรธแค้นมู่เฉินเทียนขึ้นอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดที่เคยได้ส่งคนไปลอบฆ่ามู่เซิ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดมือลง และกลายเป็นว่าบุตรบุญธรรมของตนเองก็ต้องมาเสียชีวิตไปด้วย
เรื่องนี้ทำให้ในใจของมู่จงหยุน เคียดแค้นมู่เฉินเทียนอย่างที่สุด
วันนี้ ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว!
อาการป่วยของมู่เฉินเทียน ทำให้เขาเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงผู้ป่วย นี่ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับมู่จงหยุน โดยตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาต้องการขึ้นเป็นเจ้าบ้านตระกูลมู่ให้ได้ ครั้นแล้วจึงได้แทรกตัวเข้ามาในตระกูลมู่ และบำเพ็ญฝึกฝนอย่างอุตสาหะ
สวรรค์ย่อมเมตตาคนที่มีความเพียรพยายาม ก่อนหน้านี้ ตอนที่มู่เซิ่งเพิ่งจะกลับมาที่ตระกูลมู่ เขาก็บรรลุขั้นแดนปรมาจารย์บู๊แล้ว ซึ่งเข้าสู่ระดับนักเสวียนอย่างสมบูรณ์
สิ่งนี้เองที่ทำให้เขามีคุณสมบัติพอที่จะสามารถขัดแย้งกับมู่เฉินเทียนได้
ต่อมา เรื่องที่มู่เฟิงถูกมู่เซิ่งลงมือทำร้ายจนแขนหักนั้น ก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจอย่างมาก ถึงขนาดทนไม่ไหวจะไปต่อสู้กับมู่เซิ่งอย่างสุดชีวิตเลย แต่เขาอดทนเอาไว้ได้ ก็เพื่อวันนี้ ต้องการที่จะดูมู่เฉินเทียน เสียชื่อเสียงหมดสิ้นอำนาจในตระกูลมู่ลงอย่างสิ้นเชิง!
“พาฉันไปห้องประชุมของตระกูลเถอะ เวลาเริ่มประชุมใกล้จะถึงแล้ว” มู่เฉินเทียนเอ่ยปากขึ้น
ฉินหลินพยักหน้า และเดินเข้ามา แบกมู่เฉินเทียนขึ้นไว้บนหลังของตน จากนั้นลูกหลานตระกูลมู่ที่อยู่ด้านข้างก็ยกรถเข็นขึ้นบันไดไปทีละขั้น แล้วฉินหลินก็นำมู่เฉินเทียนวางลงบนรถเข็น
ละเอียดรอบคอบอย่างมาก ราวกับว่ากำลังดูแลพ่อของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ถึงกับทำให้มู่เซิ่ง อดไม่ได้ที่จะหันมองไปดู
“ไปกันเถอะ”
มู่เฉินเทียนพูดขึ้น
ฉินหลินก็เข็นมู่เฉินเทียนไปข้างหน้า
แต่ทว่า ลูกหลานที่ตามมาด้านหลังนั้น กลับไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
หลังจากรออยู่สักครู่หนึ่ง มู่จงหยุนก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า: “ไปกันเถอะ เจ้าบ้านบอกให้ไป แล้วพวกนายจะมัวยืนทำอะไรกันอยู่อีกล่ะ? ”
พวกลูกหลานตระกูลมู่เหล่านั้น จึงได้เริ่มเดินตามมู่เฉินเทียนไปข้างหน้า เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงสถานะของมู่จงหยุนในตระกูลมู่ อย่างเด่นชัดเลยทีเดียว
แม้ว่าเขายังจะไม่ได้เป็นเจ้าบ้าน แต่คำพูดของเขานั้น มีอำนาจมากกว่าคำพูดของมู่เฉินเทียนแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังของมู่จงหยุน ค่อย ๆ อ้อมสระบัวของตระกูลมู่ แล้วเดินทะลุผ่านระเบียงยาว ท้ายสุดก็เดินเข้าไปในห้องประชุมตระกูลมู่
ผู้อาวุโสของตระกูลมู่ต่างก็นั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว มู่เฉินเทียนเข้าไปนั่งก่อน โดยที่ฉินหลินได้อุ้มเขาไปยังที่นั่ง จากนั้นก็เป็นมู่จงหยุนและคนอื่น ๆ เข้าสู่ที่นั่ง และสุดท้ายรุ่นเด็กก็เข้ามานั่ง ส่วนลูกหลานตระกูลมู่คนอื่น ก็ยืนกันอยู่บริเวณโดยรอบ
ห้องประชุมมีขนาดใหญ่มาก แต่ไม่นานก็ถูกลูกหลานตระกูลมู่ยืนกันจนเต็มไปหมด ยังมีอีกไม่น้อยที่เข้าไปยืนด้านในไม่ได้แล้ว จึงต้องยืนอยู่ด้านหน้าและมองดูเข้าไปด้านใน
วันนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นวันประเมินและตัดสินตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าบ้าน ยังจะเป็นวันถือกำเนิดเจ้าบ้านคนใหม่ขึ้นอีกด้วย ทุกคนของตระกูลมู่ ต่างก็ตั้งตารอคอยกันอย่างที่สุด
แต่ในใจของคนส่วนใหญ่นั้น ต่างก็มีผลลัพธ์กันอยู่แล้ว
“ตามพินัยกรรมของบรรพบุรุษตระกูลมู่......”
เวลานี้ มีลูกหลานตระกูลมู่คนหนึ่ง ได้อ่านกฎเกณฑ์ของตระกูลมู่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
มู่คู่กับมู่ปู้ต่างก็มากันแล้ว แม้แต่มู่เฟิงก็นั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว โดยแขนขวาของเขาได้ทำการใส่แขนปลอมเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสายตาที่มองไปยังมู่เซิ่งนั้น เผยให้เห็นถึงความเคียดแค้นอย่างที่สุด
มู่คู่มองไปจากที่นั่งของตน เห็นมู่เฉินเทียนในสภาพที่แก่ชราแล้ว ก็ดีใจขึ้นในทันที
ขณะเดียวกันเขายังสังเกตอย่างละเอียดอีกว่า ในปกคอเสื้อของมู่เฉินเทียน ยังมีเส้นผมขาวอยู่อีกไม่น้อยด้วย
แสดงให้เห็นว่า มู่เฉินเทียนป่วยหนักจนเส้นผมแทบจะร่วงหมดแล้ว
มู่จงหยุนพูดได้ถูกต้องว่า สาเหตุของโรคนี้ไม่มีใครทราบได้ มู่เฉินเทียนใกล้จะตายลงแล้ว
ทันใดนั้น เขาจึงส่งสายตาที่เป็นห่วงเป็นใย พร้อมกับถามขึ้นว่า: “มู่เฉินเทียน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย สีหน้าท่าทางดูสดชื่นดีนะ? ”
ไม่เจอกันนานแล้วจริง ๆ ด้วย ตั้งแต่ที่มู่เฉินเทียนเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล มู่คู่ก็ไม่เคยไปเยี่ยมหาเขาเลยสักครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง
Thanks...
มีต่อมั้ยครับ...