มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง นิยาย บท 396

หลู่เจ๋อเหยียบคันเร่งอย่างแรง เพื่อพุ่งตรงเข้าชนมู่เซิ่งอย่างหนักหน่วง

เขาไม่เชื่อหรอกว่า

ก็แค่มู่เซิ่ง ที่เป็นวิชาวิทยายุทธเล็กน้อยแล้วจะเก่งกาจขนาดไหนกัน?

ต่อให้นายจะมีวิชาวิทยายุทธที่เก่งกาจมากแค่ไหน ก็จะสามารถรวดเร็วไปกว่ารถสปอร์ตได้อย่างนั้นเหรอ? แม้ว่าฉันจะชนนายไม่ตาย แต่ก็สามารถจะชนให้นายขาหักลงได้!

เมื่อได้ยินเสียงเร่งเครื่องของรถสปอร์ต ซูอีเข่อก็หันหน้ากลับมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไม่นึกว่าจะเห็นรถสปอร์ตคันหนึ่งวิ่งพุ่งตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว ก็พลันตะโกนร้องเสียงดัง แล้วก็ปิดตาลงด้วยความหวาดกลัว

แต่ร่างกายของมู่เซิ่งกลับไม่ได้เคลื่อนไหว ยังคงยืนอยู่ที่ด้านหน้าของซูอีเข่อเหมือนเดิม และหันหลังมามองดูเล็กน้อย

ดวงตาที่สงบนิ่งของเขา แฝงไปด้วยพลังอันน่าแปลกที่ทำให้จิตใจหวาดหวั่น ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างอยู่เหนือกาลเวลา ที่กำลังมองดูมดแมลงที่น่าสงสารอย่างไรอย่างนั้น

“สายตาแบบนี้อีกแล้ว สายตาแบบนี้อีกแล้ว! ”

สายตาที่มองผ่านไปนั้น ทำให้หลู่เจ๋ออดที่จะตัวสั่นไม่ได้ ในใจของเขา กลับเกิดความโมโหขึ้นอย่างหนัก “การที่แกทำตัวว่าตนเองอยู่เหนือสิ่งอยู่ใดนั้น มันช่างทำให้ฉันรังเกียจอย่างที่สุด! แกแม่งคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ก็แค่ไอ้ขยะ นายก็แค่ไอ้ขยะคนหนึ่งเท่านั้น! รอให้ฉันขับรถชนนายตายลงก่อน แล้วจะเหยียบย่ำลูกตาของนายให้แหลกละเอียดไปเลย! ”

บึนบึนบึน----

รถสปอร์ตที่เดิมทีเร่งความเร็วจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่นึกว่าจะสามารถเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นได้อีก

ทุกคนพากันตื่นตกใจ เมื่อเห็นว่าเงาร่างของมู่เซิ่งไม่ขยับเขยื้อน ในใจพลันตกตะลึง เขาไม่หลบเหรอ? หากว่าถูกชนเข้าอย่างจัง ร่างศพก็คงจะไม่สมบูรณ์เป็นแน่เลย!

ปังง!

ทุกอย่างดูเหมือนมันจะมากมาย แต่ในความจริงแล้วก็แค่ช่วงเวลาอันสั้น รถสปอร์ตที่หลู่เจ๋อขับนั้นมีความเร็วอย่างมาก เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงที่ด้านหน้าของมู่เซิ่ง จากนั้นก็พุ่งชนเข้าใส่อย่างรุนแรง

ฝุ่นฟุ้งตลบอบอวลไปทั่ว!

การพุ่งชนที่รุนแรงทำให้เศษหินและฝุ่นละออง กระจัดกระจายตลบอบอวลไปทั่ว พร้อมกับควันที่หนาแน่น จนปกปิดการมองเห็นของทุกคนไปหมด

“เป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ”

“ตายแล้วล่ะสิ? ”

“ไอ้หนุ่มนั่นคงจะตายลงเป็นแน่แล้ว การพุ่งเข้าชนระดับนี้ ใครจะรอดชีวิตได้อีกล่ะ”

“หลู่เจ๋อเองก็น่าจะจบเห่เช่นกัน เขาช่างบ้าดีเดือดเกินไปแล้ว แม้แต่ซูอีเข่อก็ยังกล้าที่จะพุ่งชน เขาไม่กลัวว่าครอบครัวของซูอีเข่อจะสืบสาวราวเรื่องเพื่อเอาผิดอย่างนั้นเหรอ? ”

“บ้าไปแล้ว เขาบ้าไปแล้วจริง ๆ ด้วย”

ทุกคนอดที่จะส่ายศีรษะไปมาไม่ได้ หลู่เจ๋อผู้นี้ช่างบ้าระห่ำเกินไปแล้วจริง ๆ ไม่นึกว่าจะขับรถพุ่งชนคนอื่นอย่างไม่แยแส ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าหลู่เจ๋อเคยฆ่าคนมาก่อนแล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะขับรถพุ่งชนคนอย่างบ้าระห่ำขนาดนี้

“กร็อกแกร็ก----”

ท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงของแผ่นเหล็กที่แตกหักผุพังอีกครั้ง

ทุกคนต่างก็หันมองไป เมื่อฝุ่นควันจางหาย ภาพที่ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขานั้น ไม่ใช่ร่างกายที่บาดเจ็บเต็มไปด้วยเลือด แต่เป็นมู่เซิ่งที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาชูนิ้วมือขึ้นหนึ่งนิ้ว แล้วกดลงไปที่ด้านบนของหัวรถ

บริเวณหัวรถนั้นได้พังยับเยินไปหมดแล้ว แผ่นเหล็กที่แตกหักนั้นก็ตกลงมาจากที่หัวรถนี้ และถุงลมนิรภัยในตัวรถนั้นก็กระดอนเปิดออกมา ถึงต่อให้เป็นแบบนี้ ที่ตรงประตูรถก็ผุพังจนผิดรูป โดยหลู่เจ๋อที่นั่งอยู่ในรถนั้น ถูกกระแทกจนหัวแตกมีเลือดไหลออกมา

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างที่สุดมันไม่ใช่เรื่องนี้

แต่มันคือตรงบริเวณหัวรถ จุดที่มู่เซิ่งใช้ฝ่ามือกดลงไปต่างหาก โดยรถสปอร์ตคันนี้ที่มีพลังขับเคลื่อนรวดเร็วเกือบสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่นึกว่าจะหยุดลงสนิทที่ด้านหน้าของมู่เซิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเลย!

บริเวณหัวรถผุพังไปเกินกว่าครึ่ง แต่ทางมู่เซิ่งนั้น กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เมื่อมองทางซ้ายและขวา พบว่าภาพเหตุการณ์ทั้งสองฝั่งนั้นมันแตกต่างกันมากอย่างชัดเจน

โอ้ว อะไรกันวะเนี่ย!

“ฉันไม่ได้มองผิดไปหรอกนะ? แม่ง นายไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกนะ? ”

“นี่คืออะไร? ใช้มือเดียวหยุดการเคลื่อนที่ของรถเฟอร์รารี่ได้? ”

“พละกำลังนี้ช่างน่ากลัวเสียจริงเลย นี่เขายังเป็นคนอยู่อีกเหรอ? ต่อให้เป็นหมีตัวหนึ่งยืนอยู่ที่ตรงนั้น ก็คงจะถูกชนตายอย่างแน่นอน แล้วมู่เซิ่งทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ”

เถ้าแก่โจวกับผู้จัดการหวังและคนอื่น ๆ เดิมทีคิดที่จะวิ่งเข้ามา เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยชีวิตมู่เซิ่งได้หรือไม่ แต่หลังจากที่เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว พวกเขาก็ตกตะลึงอย่างหนัก อ้าปากค้าง สีหน้าแข็งทื่อ ราวกับถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น ยืนกันอยู่ที่เดิม

เถ้าแก่โจวมีความรู้มีประสบการณ์มากมาย ปรมาจารย์บู๊ที่เขาผูกมิตรด้วยนั้น ก็มีเกือบจะสิบคนแล้ว

แต่เขาไม่เคยพบเห็นคนที่มีความสามารถเกินจริงอย่างมู่เซิ่งมาก่อน ใช้ร่างกายของตน ขัดขวางสิ่งที่เป็นเหล็ก แม่งช่างบ้าระห่ำเกินไปแล้ว ต่อให้เขาจะรู้จักปรมาจารย์บู๊ที่เก่งกาจ แต่อย่างมากก็แค่ยกรถสปอร์ตคันหนึ่งขึ้น แล้วก็โยนออกไปกี่เมตรเท่านั้น ซึ่งแบบที่มายืนขัดขวางอยู่หน้ารถสปอร์ตนี้ เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย

“ฉันว่า เขาคงจะไม่ใช่คนของตระกูลบู๊อะไรหรอกนะ? ” ผู้จัดการหวังกลืนน้ำลายลงคอ

“ตระกูลบู๊? นอกจากจะเป็นตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของเมืองเยียนจิงแล้ว จึงจะสามารถบ่มเพาะฝึกฝนคนที่เก่งกาจแบบนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งตระกูลทั่วไปจะมีคนแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ......” เถ้าแก่โจวพูดพึมพำ “ไม่ถูกต้อง พลังความสามารถระดับนี้มันเหนือกว่าขอบเขตของปรมาจารย์บู๊แล้วด้วย หรือว่า หรือว่าเขาคือ----”

เถ้าแก่โจวตื่นตกใจ เพราะเขานึกถึงความเป็นไปได้ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมา

นั่นก็คือมู่เซิ่งเขา เป็นไปได้ว่าจะเป็นนักเสวียน!

เขาสะบัดส่ายศีรษะอย่างแรง แต่สองคำนี้ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของเขา ราวกับว่าเป็นฝันร้าย ที่ลบทิ้งไปไม่ได้ อีกทั้งเมื่อเถ้าแก่โจวยิ่งขบคิดก็ยิ่งจะมีโอกาสเป็นไปได้อย่างมากเลย

ก็เพราะว่า ปรมาจารย์บู๊ไม่สามารถที่จะกระทำแบบนี้ได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว เถ้าแก่โจวเองก็อดที่จะหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ โชคดีที่เมื่อครู่นั้นยังฉลาดพอ ที่ปล่อยให้มู่เซิ่งจากไป มิเช่นนั้นถ้าหากเขาไปล่วงเกินต่อมู่เซิ่งเข้าจริง ต่อให้เขามีสักสิบชีวิตก็ยังคงไม่พอชดใช้

สำหรับที่ว่าทำไมมู่เซิ่งถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้ล่ะ?

จากที่เขาคาดคะเน น่าจะมาจากงานเลี้ยงสังสรรค์ของกลุ่มเศรษฐี เพราะนักเสวียนแต่ละคนนั้นจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยมีเงินทอง ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาไม่สามารถใช้จ่ายในด้านทรัพยากรการฝึกฝนที่มีราคาสูงมากได้

หลู่เจ๋อนั่งอยู่ในรถในสภาพที่เลือดอาบไปทั้งศีรษะ สีหน้าท่าทางแข็งทื่อเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ขวาง ขัดขวางเอาไว้ได้แล้ว?

นี่เป็นความจริงเหรอ?

หลู่เจ๋อมองไปยังมู่เซิ่งที่อยู่ใกล้กับเขามาก แล้วก็กลืนน้ำลาย

เขารู้สึกว่าตอนนี้เหมือนกับความฝัน มีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่ามันไม่เป็นความจริง

ส่วนซูอีเข่อที่ยืนอยู่ด้านข้างของมู่เซิ่งนั้น ก็ยังคงตื่นตกใจอยู่ เมื่อมองไปยังรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ที่อยู่ใกล้กับตัวเองแล้วนั้น จิตใจก็หวั่นวิตกราวกับนั่งรถไฟเหาะอย่างไรอย่างนั้น หัวใจเต้นอย่างรุนแรง

บริเวณหัวรถเฟอร์รารี่ยังคงมีควันโขมงอยู่ นั่นเป็นการยืนยันถึงความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ว่า มู่เซิ่งใช้มือกดลงไปที่หัวรถเฟอร์รารี่ แม้ว่าจะเป็นรถเฟอร์รารี่ที่แข็งแกร่งและดุดัน ก็ยังคงถูกกดเอาไว้จนไม่ขยับเขยื้อน ไม่สามารถทำอันตรายอะไรต่อเขาได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น อายุของมู่เซิ่งกับเธอนั้นก็ยังเหมาะสมกันเสียด้วย......

สายตาของซูอีเข่อเคลื่อนย้ายไปที่ร่างของมู่เซิ่งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมู่เซิ่งยังคงอยู่ในท่าทางที่เฉยชา แม้ว่าจะเป็นตอนที่รถเฟอร์รารี่ขับพุ่งตรงเข้ามา สีหน้าท่าทางของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ราวกับว่าต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมา สำหรับเขาแล้ว ก็ถือว่าไม่หนักหนาอะไร

มีจิตใจดีงามและมีความชอบธรรม ในตอนที่ทุกคนกำลังมุ่งเป้ามาที่เธอนั้น มู่เซิ่งก็เสนอตัวออกมาปกป้อง

มีพลังความสามารถที่ไม่เป็นรองใคร แม้แต่ยอดฝีมือเทควันโดสายดำ ก็ยังเป็นผู้พ่ายแพ้ของเขา

อะไรคือผู้ชาย? นี่ยังไงล่ะที่เรียกว่าผู้ชาย เมื่อเปรียบเทียบกับจี้เหว่ย และหลู่เจ๋อแล้ว ภาพลักษณ์ของมู่เซิ่งในสายตาของซูอีเข่อนั้น ก็พลันโดดเด่นดูดีขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

หากลองเปรียบเทียบ มู่เซิ่งก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก ที่ส่องประกายแสงสว่าง ส่วนพวกหลู่เจ๋อนั้นแม้แต่เศษตะกอนก็ยังไม่ใช่

เมื่อมาเปรียบเทียบดูในครั้งสุดท้ายแล้ว

ซูอีเข่อก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเกิดความรักขึ้นมาแล้ว

ดวงตาที่ใหญ่โตของเธอหมุนวนไปมา สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของมู่เซิ่ง และแอบพูดพึมพำในใจว่า: “ตงเสี่ยวเย่ เธออย่าได้ถือโทษฉันเลยนะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ใช่คน แต่ผู้ชายที่เธอพามานั้นมันช่างดึงดูดยั่วยวนเสียจริงเลย! ”

“รอให้ฉันสำเร็จแล้ว จะเชิญเธอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวอย่างแน่นอน! ”

......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง