ไป๋ยี่เซวียนเอ่ยกับโจวกุ้ยหลานตามมารยาทอีกสองสามคำ จากนั้นจึงถามนางเรื่องขนม
โจวกุ้ยหลานจนปัญญาจะทำและทำได้เพียงมุ่งความสนใจไปในเรื่องของครอบครัว “ดังนั้นพวกเข้าก็เลยทำไม่ได้แล้ว”
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ถ้ามีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยได้ พวกท่านบอกเรามาได้เลย”
ไป๋ยี่เซวียนว่าแล้ว ลูกจ้างจึงยกอาหารมาวางลงบนโต๊ะ
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ หยิบชามของโจวกุ้ยหลานขึ้นมาและช่วยคีบของโปรดของนางมาไว้ตรงหน้า จากนั้นจึงบอกว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น กินก่อนเถิด”
โจวกุ้ยหลานตอบรับ จากนั้นจึงหยิบชามและตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก นางชิมรสและกล่าวว่า “อาหารของเถ้าแก่รสชาติดีกว่าเมื่อก่อนนะ”
“แม่นางกุ้ยหลานยังมีฝีมือเหมือนเดิม แค่ชิมคำเดียวก็รู้เลย นี่เป็นอาหารฝีมือพ่อครัวคนใหม่ที่ข้าเพิ่งว่าจ้าง ฝีมือดีกว่าพ่อครัวคนก่อนมาก”
“มิน่าเล่า” โจวกุ้ยหลานตอบและชิมรสชาติของปลาอีกครั้ง
อาหารรสชาติดีมาก ทักษะการทำอาหารของพ่อครัวก็ยอดเยี่ยม
ถ้าดูแค่การทำอาหาร ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวนั้นดีกว่านาง และก็ใช่ คนเหล่านี้ครุ่นคิดเกี่ยวกับอาหารการกินเหล่านี้ตลอดทั้งวัน นางยังห่างไกลจากพวกเขามาก
ส่วนเรื่องเครื่องเทศก็เป็นเพราะโชคเข้าข้าง ไม่อย่างนั้นคงหาเงินไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่นี่มีใครทำขนมหัวไชเท้าหรือเปล่า ถ้าได้กินสักครั้งคิดว่าจะต้องเรียนรู้ได้แน่ๆ
ดวงตาของไป๋ยี่เซวียนจับจ้องอยู่ที่โจวกุ้ยหลาน นึกอยากจะขอความคิดเห็นจากนาง
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ มองเห็นสายตาของเขาและขมวดคิ้วขึ้นมา
“เถ้าแก่ไป๋ไม่ไปรับแขกหรอกหรือ”
ไป๋ยี่เซวียนชะงักและหันไปมอง จากนั้นจึงเห็นเจตนามุ่งร้ายในแววตาของสวีฉางหลิน
เหตุใดจึงได้มีเจตนามุ่งร้ายกันเล่า?
ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกแปลกใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจได้ว่าสวีฉางหลินกำลังไล่เขา ดังนั้นจึงไม่ดีเลยที่จะอยู่ต่อ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืนขึ้นและเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ทั้งสามท่านโปรดกินให้อร่อย ถ้าไม่พอก็เรียกเด็กให้นำอาหารมาเพิ่มได้เลย”
“ขอบคุณมากเถ้าแก่ไป๋!” โจวกุ้ยหลานเอ่ยกับไป๋ยี่เซวียนด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นทำให้แววตาของไป๋ยี่เซวียนวูบไหว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเลยว่ารอยยิ้มของโจวกุ้ยหลานสวยงามขนาดนี้
“กินข้าว” สวีฉางหลินยื่นมือมาหมุนศีรษะของโจวกุ้ยหลานให้หันกลับมา หลบเลี่ยงจากสายตาของไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนอ้าปากกำลังจะพูดบางอย่าง แต่แล้วก็ต้องพบกับสายตาของสวีฉางหลิน แววตาคู่นั้นเย็นเยียบอย่างน่าสะพรึงกลัว
เขาตัวสั่นเล็กน้อย แต่แล้วก็รีบระงับความไม่สบายใจและออกจากห้องไปอย่างหมดสภาพ
แม้ว่าจะออกมาแล้วเขาก็ยังรู้สึกกลัว สายตาของสวีฉางหลินเมื่อครู่นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาเป็นใครกันแน่
คราวก่อนเขาจัดการพวกอันธพาลที่มาวุ่นวายที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงได้อย่างง่ายดาย ดูแล้วเขาน่าจะมีวรยุทธสูงส่ง แล้วยังมีโจวกุ้ยหลานนั่นอีก คราวนี้ใบหน้าของนางดูมีน้ำมีนวลและขาวผุดผ่องมิใช่น้อย สีหน้าก็ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก...
ตอนที่เขาหันกลับไปเพื่อปิดประตู เขาเห็นโจวกุ้ยหลานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสวีฉางหลิน แต่เขาไม่ได้มองต่อไป เขารีบปิดประตูห้องส่วนตัวและเดินจากไปทันที
โจวกุ้ยหลานลูบคอตนเองและมองสวีฉางหลินอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะมือหนักเกินไปแล้ว!”
เมื่อครู่นี้นางกำลังพูดอยู่ดีๆ แต่ชายคนนี้ก็มาคว้าคอนางบิดกลับมา ทำให้นางเจ็บ
“อย่ายิ้มให้ชายอื่น” สวีฉางหลินไม่สนใจคำบ่นของโจวกุ้ยหลานและเอ่ยถึงสิ่งที่เขาต้องการ
“เจ้าทำข้าเจ็บ ยังจะมห่ให้พูด!” โจวกุ้ยหลานไม่สนใจสวีฉางหลินที่ชวนเปลี่ยนเรื่องและตำหนิเขาต่อ
ผู้ชายคนนี้ประมาทเกินไปแล้ว ถ้าเขาออกแรงขึ้นอีกนิดเดียว คอของนางคงถูกบิดจนหักแน่ ที่สำคัญสุดๆ ก็คือเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาผิด!
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่ได้สัญญากับข้า”
“เจ้าต้องขอโทษข้าก่อน!”
โจวกุ้ยหลานจ้องสวีฉางหลินเขม็ง นางจะต้องทำให้เขารู้ให้ได้ว่าเขาผิด และเขาต้องปรับปรุงท่าทีของเขา!
เมื่อเห็นทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกัน โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “ไม่เป็นไรน่า เรารีบกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวข้าวจะเย็นซะหมด...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...