กุ้ยหลานเดาไม่ผิด เหล่าไท่ไท่ดึงตัวโจวคายจือเข้ามาในบ้านของตัวเอง แล้วให้นั่งลงบนเตียงเตาของนาง มองหน้าโจวคายจือ พลางถอนหายใจเฮือก: “คายจือเอ๊ย คำพูดของกุ้ยหลานนั่นเจ้าอย่าไปเชื่ออย่าไปฟังเลยนะ ถ้าต้องหย่าขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตจากนี้ของเจ้าจะทำยังไงล่ะ? ไหนจะพวกลูก ๆ ของเจ้าอีก ? ผู้เฒ่าตระกูลซุนนั่น จะยอมปล่อยให้เจ้าพาหลานชายหลานสาวตระกูลซุนออกไปได้ง่าย ๆ รึ?”
“ยาย พวกเราจะอยู่กับแม่แน่นอนเจ้าค่ะ” ต้าญาไม่รอให้โจวคายจือเอ่ยปาก ก็ชิงพูดเสียงดังฟังชัดขึ้นมาก่อนแล้ว
“เด็กอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร อย่าสอดปาก!” เหล่าไท่ไท่ตวาดด่าต้าญาไปประโยคหนึ่ง
กับเหล่าไท่ไท่ ต้าญายังค่อนข้างจะเกรงกลัวนางอยู่บ้าง นี่เป็นความยำเกรงที่นางรู้สึกมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้งนี้นางทำแค่หุบปากไว้ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก แต่ในใจยังคงคิดว่าอยากให้แม่พานางกับพวกน้องชายน้องสาวออกมา แล้วไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างอิสระ
โจวคายจือก้มหน้างุด ทั้งบิดทั้งหมุนนิ้วมือไปมา รู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจ แต่เมื่อนึกถึงลูก ๆ ของนาง ก็ดูเหมือนว่านางจะตัดสินใจได้: "แม่ ท่านคนเดียวก็เลี้ยงพวกต้าไห่ขึ้นมาจนโตได้ด้วยตัวเอง เพื่อลูก ๆ ของข้าแล้ว ข้าก็ไม่กลัวความลำบากหรือความเหน็ดเหนื่อยหรอก....”
“ลำบากกับเหน็ดเหนื่อย? คายจือเอ๊ย สมองของเจ้ามันคิดไม่ได้แล้วหรือยังไงกัน? ที่นี่ผู้ชายเป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าในบ้าน ถ้าในบ้านเจ้ามีผู้ชาย ต่อให้เป็นตัวไร้ประโยชน์แค่ไหน ถ้าใครคิดจะเหยียบย่ำก้ำเกินบ้านเจ้า ก็ยังต้องชั่งน้ำหนักหาผลได้ผลเสียก่อน แต่ถ้าบ้านเจ้ามีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ๆ ใครมันก็เข้ามาเหยียบเข้ามาย่ำได้ทั้งนั้น เจ้าจะร้องไห้ฟูมฟายแค่ไหนก็ไม่มีคนสนใจหรอก เจ้ารู้บ้างไหม?”
เหล่าไท่ไท่เกลี้ยกล่อมลูกสาวคนโตด้วยความหวังดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
“แม่ ถ้าเรายังอยู่ที่บ้านนั้นต่อไป น่ากลัวว่าไม่ต้องรอให้คนนอกมาเหยียบ พวกเราก็คงตายกันหมดไม่มีเหลือแล้วล่ะ....” โจวคายจือพูดพลาง น้ำตาก็ไหลออกมาอีก จากนั้นก็ยื่นมือออกไปดึงต้าหู่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เข้ามา ถลกเสื้อของเขาขึ้น จึงเห็นว่าที่แผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่กระจายกันแบบหนาแน่นถี่ยิบ
เหล่าไท่ไท่ดวงตาหดเกร็ง “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
“เป็นคนในบ้านนั้นตี ทั้งพ่อผัวแม่ผัว ยังมีพวกลุงพวกอาทั้งหลายนั่นอีก พอพวกเขาไม่พอใจขึ้นมาก็จะตีพวกเด็ก ๆ ระบายอารมณ์” โจวคายจือพูดจบ ก็ปล่อยมือจากต้าหู่ แล้วเอื้อมไปอุ้มซานญาขึ้นมา ช่วยถอดเสื้อนอกของนางออก เมื่อเสื้อถูกเลิกขึ้นจึงเผยให้เห็นส่วนเล็ก ๆ ตรงช่วงเท้า ที่น่องของนางมีรอยแผลเป็น ซึ่งเป็นรอยแผลลวกขนาดใหญ่รอยหนึ่ง "นี่ไม่ใช่รอยที่เกิดมาพร้อมกับซานญา แต่เป็นเพราะคนตระกูลซุนพวกนั้นใช้นางที่เป็นแค่เด็กสามขวบไปยกน้ำร้อน นางถือไม่ไหวน้ำร้อนจึงหกลวกใส่ขา...."
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โจวคายจือก็ยกมือขึ้นปิดปาก ด้วยกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมาอีก
ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นางเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าลูก ๆ ของนางต้องใช้ชีวิตแบบไหนในบ้านตระกูลซุนนั่น แต่นางจะทำอะไรได้ล่ะ? นางแต่งเข้าไปในบ้านนั้นแล้ว ต่อให้นางจะตายก็ต้องตายในบ้านตระกูลซุน
"ไอ้พวกตระกูลซุนมันมีแต่สัตว์เดียรัจฉานทั้งนั้น!" เหล่าไท่ไท่โกรธจัด เงื้อมือขึ้นทุบลงบนเตียงเตาแรง ๆ ไปหนึ่งฉาด
โจวคายจือทำได้แค่ร้องไห้สะอึกสะอื้น นางเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งเข้าไปในบ้านที่มีแต่คนใจดำแบบนั้น นางจะทำอะไรได้?
เป็นเพราะนางตาบอดแท้ ๆ ที่ไปตกหลุมรักซุนโก่วต้าน ไม่เพียงทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส แต่ยังทำร้ายลูก ๆ ของนางด้วย
“ร้องไห้ ๆ ๆ เจ้ามันก็รู้จักแต่ร้องไห้! ลูกของเจ้าถูกคนอื่นรังแกขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ไม่โวยวายอะไรสักคำเลยรึ? เอะอะอาละวาดสิ สู้พวกมันสิ ทำให้ไอ้พวกตระกูลซุนนั่นมันอยู่กันไม่เป็นสุขเข้าสิ!” เหล่าไท่ไท่ทนมองคนที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่ได้ที่สุดแล้ว ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรซักอย่าง!
โดยเฉพาะลูกสาวคนโตของนางคนนี้ ทำงานก็เก่ง ทั้งมีบ้านแม่ที่คอยประคับประคองอยู่ข้างหลัง ทำไมถึงได้ทำจนตัวเองต้องมาใช้ชีวิตที่มันบัดซบได้ขนาดนี้?
“ข้ากลัวว่าบ้านเขาจะหย่าข้า แม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรไม่ฟังแม่เอาแต่รั้นจะแต่งเข้าตระกูลซุนให้ได้ ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ!”
ในใจของโจวคายจือรู้สึกสำนึกผิดแทบตายแล้ว ทั้งร้องไห้ทั้งคร่ำครวญ ขณะที่พร่ำรำพัน สองเท้าก็พลันอ่อนแรง ทรุดฮวบลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้อย่างน่าเวทนา
ในใจของเหล่าไท่ไท่ก็ทุกข์ทรมานเช่นกัน พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นพวกเด็ก ๆ ต่างจ้องมองนางด้วยแววตาที่คาดหวังรอคอย
นางถอนหายใจเฮือก พูดด้วยน้ำเสียงจนใจว่า: “ตอนนี้เจ้ามาพูดถึงเรื่องพวกนี้ คิดจะให้พวกลูก ๆ ได้มาเห็นความน่าขบขันของแม่ตัวเองรึ?”
“ยาย ข้าอยากอยู่กับท่านและแม่ที่นี่ ข้าอยากได้กินข้าวอิ่มท้อง....” ซานญากำชายเสื้อตัวเองแน่น พูดเสียงแผ่วเบา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...