สวีฉางหลินกลับมิขยับเขยื้อน เขามองไปที่เถ้าแก่แล้วกล่าวว่า “ชุดนี้เราจะเอา”
ชุดกระโปรงราคาสามตำลึงเชียว เขาบ้าไปแล้วหรือ?
โจวกุ้ยหลานรีบเข้าไปดึงตัวสวีฉางหลินเอาไว้เพื่อจะให้เขาเดินออกไป ชุดนี้ราคาสูงเหลือเกินซื้อมิไหว นางสวมชุดของตนเองดีกว่า
อย่างไรก็ตาม สวีฉางหลินที่ว่าง่ายเสมอมา ในวันนี้กลับตั้งใจแน่วแน่ว่าจะซื้อกระโปรงชุดนั้นให้ภรรยาจงได้
มิใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่ภรรยาของเขาจะชื่นชอบเสื้อผ้าสักชุด มิว่าอย่างไรเขาก็จะทำให้ภรรยาต้องผิดหวังมิได้เด็ดขาด
ดวงตาของโจวชิวเซียงดูร้อนแรง นางจ้องไปที่สวีฉางหลินมิขยับ น้ำเสียงนั้นดูสะอื้นเล็กน้อย “พี่ฉางหลิน ยกโทษให้ข้ามิได้หรือ เหตุใดต้องทำกับข้าถึงเพียงนี้?”
สวีฉางหลินนิ่งเงียบ ตัวเขาที่ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่วัยเยาว์ กลับมิมีวันเข้าใจว่าโจวชิวเซียงกล่าวสิ่งใดอยู่......
“เอาเถอะ ๆ ชุดนี้เรามิเอาแล้ว เจ้ารีบซื้อเถอะ ราคาเก้าตำลึงนะ จงรีบจ่ายเงินเร็วเข้า” โจวกุ้ยหลานหันไปพูดกับโจวชิวเซียง แล้วรีบสะกิดหลังมือเขาให้รีบเดินทางออกไป
แต่สวีฉางหลินก็ยังคงมิขยับเขยื้อน นางรู้ดีว่าบัดนี้สวีฉางหลินกำลังดื้อรั้น จึงเขย่งเท้ากระซิบว่า “หากยังมิไปข้าจะโมโหแล้วนะ”
เมื่อได้ยินว่าภรรยาของตนจะโมโห สวีฉางหลินจึงทำได้เพียงเดินตามโจวกุ้ยหลานออกไป เหลือไว้แค่โจวชิวเซียงกระทืบเท้าปึงปังด้วยความโมโห
หลังจากที่ทั้งสองเดินจากไปแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงได้รีบสั่งสอนสวีฉางหลินว่า “เจ้าบ้าหรือไงกัน นางยอมจ่ายเงินตั้งเก้าตำลึงเพื่อซื้อชุดนั้น พวกเราก็ยอมให้นางไปเถอะ!”
“เพราะเจ้าชอบ” สวีฉางหลินยังคงครุ่นคิดถึงกระโปรงชุดนั้น
ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขามิมีปัญญาจะซื้อแม้แต่ชุดชุดเดียว?
ในใจของโจวกุ้ยหลานรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางสัมผัสได้ว่าสวีฉางหลินรักนาง น้ำเสียงจึงดีขึ้นมิน้อย “สิ่งที่ข้าชื่นชอบมีมากมาย เจ้าจะซื้อให้ข้าทุกอย่างได้งั้นหรือ อีกอย่าง ชุดนั้นสวยก็จริง แต่เมื่อดูดี ๆ แล้วก็มิเท่าไร ในตอนหลังที่ข้าเอ่ยเช่นนั้นก็เพราะต้องการจะให้โจวชิวเซียงจ่ายเงินเพิ่ม”
กระโปรงตัวละสามตำลึง นางกลับยืนกรานว่าจะซื้อมันในราคาเก้าตำลึง โจวกุ้ยหลานมิเชื่อหรอกว่าโจวชิวเซียงจะมีเงินมากมายใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเช่นนี้
ถึงอย่างไร ก็นับว่านางได้ระบายอารมณ์ไปแล้ว
สวีฉางหลินมองดูท่าทางของนาง จึงมิได้สนใจเรื่องกระโปรงเมื่อครู่อีก
ทั้งสองคนเดินเล่นไปรอบ ๆ อยู่พักหนึ่ง กระทั่งมาถึงร้านขายเครื่องเขียน โจวกุ้ยหลานก็ซื้อสิ่งของอีกมากมาย
พวกเขาทั้งสองเดินถือของเที่ยวเล่นจนกระทั่งกลางวันจึงหาร้านอาหารริมถนนเพื่อกินมื้อกลางวัน บัดนี้โจวกุ้ยหลานรู้สึกเหนื่อยแล้ว ทั้งสองคนเที่ยวชมอยู่หนึ่งรอบจึงได้ไปที่หน้าประตูตำบลเพื่อนั่งเกวียน ระหว่างรอคนในหมู่บ้านอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นว่าป้าอู๋เดินก้มหน้าก้มตาผ่านท่ารถไป
สตรีที่อยู่ในรถเอ่ยเรียกนางให้นางมานั่งเกวียนด้วยกัน แต่นางกลับส่ายหน้าอย่างขมขื่นแล้วก้าวขาเดินต่อไปข้างหน้า
“เห้อ ป้าอู๋ชีวิตช่างน่าสังเวชเหลือเกิน หลายปีมานี้ลูกสะใภ้ของนางสุขภาพมิดี นี่ก็เกรงว่าจะมาหาซื้อยาให้อีกแล้ว”
“เจ้ามิเห็นหรือว่านางมิได้ถือยาอยู่ในมือ แต่ข้าเห็น เกรงว่านางจะมิมีเงินซื้อยาน่ะสิ”
พวกเขาเหล่านั้นสนทนากันขณะที่เหล่าหม่าโถวเกวียนกำลังจะขับเกวียนออกไป ก็พบสตรีชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า รั้งเกวียนของเขาเอาไว้
เมื่อโจวกุ้ยหลานมองไปก็ต้องตกตะลึง สตรีผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีดำรัดรูป ผมเผ้าถูกจัดวีเป็นทรงเรียบร้อย ในมือถือดาบอยู่เล่มหนึ่ง เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็สัมผัสได้ว่านางมิธรรมดา
สตรีนางนั้นสนทนากับเหล่าหม่าโถวเกวียนอยู่สองสามประโยคก่อนจะหันกลับมา บังเอิญสบตาเข้ากับโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานตกใจกับแววตาอันเยือกเย็นของนางนั้น แล้วละสายตากลับมองไปยังทิศทางที่นางมอง ซึ่งก็คือสวีฉางหลินที่อยู่ข้างกายของตน และยังพบว่าแววตาของสวีฉางหลินเต็มไปด้วยเงาของคนผู้นั้น
มิรู้เพราะเหตุใดโจวกุ้ยหลานจึงรู้สึกใจสั่น
นางจับมือของสวีฉางหลินอย่างไม่รู้ตัว แต่สวีฉางหลินกลับมิได้ตอบสนองทันทีเหมือนดั่งเคย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...