อาจเป็นเพราะในวันนี้ นางออกมากับสวีฉางหลินเพียงลำพัง จึงทำให้โจวกุ้ยหลานรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
มินานต่อมา เกี๊ยวน้ำก็นำมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาคนละชาม โจวกุ้ยหลานคีบเกี๊ยวตัวหนึ่งใส่เข้าปาก รสชาติอาหารค่อนข้างจืด แต่รสชาติของไส้นั้นพอจะชิมออกว่ายอดเยี่ยมทีเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้กินอาหารจากข้างทางในตำบลเช่นนี้ อาหารร้อนระอุทำให้นางรู้สึกดีทีเดียว
สวีฉางหลินก็กินเข้าไปคำหนึ่งเช่นกัน จากนั้นเขาก็ได้เอ่ยวิเคราะห์ว่า “มิอร่อยเท่ากับเจ้าทำ”
โจวกุ้ยหลานรีบยกนิ้วขึ้นห้ามประโยคนั้นของเขา
จะว่าไป......นางก็ดีใจ แต่บัดนี้อยู่ในร้านของคนอื่น หากบอกว่าเถ้าแก่ทำมิอร่อย เกรงว่าเถ้าแก่เนี้ยจะออกมาด่าเอาว่ามาหาเรื่อง
ขณะที่ตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา ก็ได้ยินน้ำเสียงของชายหนุ่มอันหยาบกร้านดังขึ้นจากด้านหลังว่า “เถ้าแก่เนี้ย เอาเกี๊ยวให้ข้าชามหนึ่ง!”
น้ำเสียงนี้ดูคุ้นหูเหลือเกิน......
โจวกุ้ยหลานครุ่นคิดอยู่ในใจแล้วหันหลังมองโต๊ะที่ห่างออกไปมิไกลนัก พบว่ามีชายร่างกายกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่ นั่นก็คือพ่อค้าจางที่เพิ่งมีเรื่องกับพวกเขาก่อนหน้านี้
เถ้าแก่เนี้ยตอบรับแล้วสนทนากับเขาขึ้นว่า “พ่อค้าจางเป็นอะไรไป ดูหงุดหงิดแต่เช้าเชียว?”
“หากข้าอารมณ์ดีคงจะแปลก มิรู้ว่าไอ้อีตัวไหนกัน ขายเนื้อไปที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้พวกเขามิซื้อเนื้อข้า!”
โจวกุ้ยหลานนิ่งเงียบ นางสัมผัสได้ว่าพวกตนเข้าไปแย่งการค้าของพ่อค้าจางเข้าเสียแล้ว......
เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนที่มีอารมณ์เย็น นางหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “กิจการค้าขายเจ้าดียิ่ง เนื้อนั้นต้องขายหมดแน่”
“วันนี้ข้าตั้งใจซื้อหมูตัวเบ้อเร่อมา หวังว่าจะได้เงินก้อนโต อย่าให้ข้าเห็นเชียวว่าเป็นใคร ข้าจะซัดมันให้ตายคามือ!”
ประโยคนี้ดูเกินเหตุเกินผล จึงทำให้สวีฉางหลินที่ฟังอยู่เริ่มเคลื่อนไหว แต่โจวกุ้ยหลานเข้ามากุมมือเขาเอาไว้เป็นความหมายว่าให้เขาปล่อยวาง
ในวันนี้พวกเขามาเที่ยวเล่นมิอยากมีเรื่อง
มิอยากจะต้องอารมณ์เสีย
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ใช้ช้อนตักเกี๊ยวในชามใส่ปากสวีฉางหลินกล่าวว่า “เอ้านี่ กินเยอะ ๆ อีกประเดี๋ยวเรายังมีหลายแห่งทีเดียวที่ยังมิได้เดินเที่ยว”
เมื่อสวีฉางหลินเห็นว่าภรรยาของตนมิอยากมีเรื่อง เขาจึงทำได้เพียงอดทนเอาไว้แล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนต่อไป
ทางด้านของพ่อค้าจาง สนทนาอยู่สองสามประโยคก็ได้เปลี่ยนหัวข้อคุยเรื่องของเถ้าแก่เนี้ยต่อ
โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินกินอิ่มแล้วก็ได้วางเงินไว้บนโต๊ะ ก่อนที่นางจะจากไปพร้อมกับสวีฉางหลิน
ทั้งสองเดินไปที่ร้านขายเสื้อผ้า โจวกุ้ยหลานเหลือบเห็นชุดสีเขียวสดใสด้านในดูมิเลว จึงดึงสวีฉางหลินเข้าไป นางเอื้อมมือไปสัมผัสชุดนั้นแล้วหันมาถามราคาว่าเท่าไหร่
เถ้าแก่เห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “แม่นางช่างสายตาเฉียบแหลมหนัก นี่เป็นชุดที่บางที่สุดในร้านของเราเชียว แม้ในวันที่ร้อนที่สุดสวมใส่มันก็จะมิร้อน ราคาเพียงแค่สามตำลึงเท่านั้น”
“สามตำลึงงั้นหรือ?” โจวกุ้ยหลานรีบชักมือกลับ ด้วยกลัวว่าจะทำชุดเสียหาย
“หากมิมีเงินแล้วจะมาที่ร้านขายเสื้อผ้าทำไมกัน หาซื้อผ้าฝ้ายกลับไปตัดชุดเองมิดีกว่าหรือ?”
น้ำเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
โจวกุ้ยหลานหันศีรษะกลับไปมอง พบโจวชิวเซียงสวมชุดสีแดงสดใส ประดับด้วยดอกไม้สีแดงที่ศีรษะกำลังเดินตรงเข้ามา ใบหน้านั้นยังคงเหมือนแต่ก่อน ทาแก้มแดงเรื่อราวกับก้นลิง
โลกช่างแคบจริง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...