เมื่อเห็นนางเดินตรงเข้ามา เสี่ยวจิ่วก็หยุดพูด จากนั้นก็หันไปพูดบางอย่างกับเจ้าก้อนน้อย เจ้าก้อนน้อยหันมาสบตานาง แล้วหันไปมองทางแม่ของตน เขายิ้มขึ้นอย่างมีความสุข ลุกขึ้นจากเก้าอี้วิ่งไปหาโจวกุ้ยหลานด้วยขาน้อย ๆ ของตนแล้วกอดขาโจวกุ้ยหลานเอาไว้
“ท่านแม่!” เจ้าก้อนน้อยตะโกนเรียกอย่างมีความสุข
โจวกุ้ยหลานลูบไปที่ศีรษะของเขาแล้วกล่าวว่า “ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว แม่ส่งเจ้าเข้านอนดีหรือไม่?”
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า โจวกุ้ยหลานจับมือเขาเดินจูงเข้าไปในห้องนอนของเขา ก่อนจะหันหลังกลับมามองไปทางเสี่ยวจิ่ว แล้วพยักหน้าให้เสี่ยวจิ่วเล็กน้อย เสี่ยวจิ่วคิดมิถึงว่านางจะทักทายตน ผ่านไปพักใหญ่จึงได้พยักหน้ากลับ
นางอุ้มเจ้าก้อนน้อยวางไว้บนเตียง โจวกุ้ยหลานยังมิได้อาบน้ำจึงมิได้นอนลงพร้อมกับเขา ทำเพียงนั่งอยู่ด้านข้างแล้วเล่านิทานที่ยังเล่ามิจบในเรื่องก่อนหน้าให้เขาฟังต่อ
ผ่านไปมินานเจ้าก้อนน้อยก็หลับสนิท โจวกุ้ยหลานจึงกลับมาที่เรือน พบว่ามิมีใครอยู่ นางจึงตักน้ำขึ้นมาอาบก่อนจะกลับไปที่ห้องของตน พบว่าสวีฉางหลินยังมิกลับมา
นางครุ่นคิดและตัดสินใจที่จะมิไปรบกวนสวีฉางหลิน จึงเอนกายลงนอน
แม้ว่าบัดนี้จะข่มตาลงแต่นางก็นอนมิหลับ
นางจึงลุกขึ้นเดินทางไปหาสวีฉางหลิน เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่าสวีฉางหลินกำลังขนดิน ที่บ่าของเขามีตะกร้าอยู่สองใบและหาบ ส่วนด้านข้างเสี่ยวจิ่วกำลังขุดดินด้วยจอบ
“เจ้ามาทำไมกัน?” สวีฉางหลินขมวดคิ้วน้ำเสียงของเขาดูแข็งกระด้าง
เสี่ยวจิ่ว เหลือบมองนางแล้วก้มหน้าตาทำงานของตนต่อไป
“มีอะไรค่อยทำพรุ่งนี้เถิด นี่ก็มืดมากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด” โจวกุ้ยหลานอดมิได้ที่จะรู้สึกมิสบายใจและกล่าวกับทั้งสอง
“เจ้านอนหลับไปก่อนเถิด” สวีฉางหลินตอบอย่างใจเย็น ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อ
โจวกุ้ยหลานอ้าปากค้างแต่นางก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาทำเพียงหันหลังเดินกลับไป
นางกลับไปที่ห้องนอนของตนเองแล้วเอนกายลงบนเตียง พลิกไปพลิกมาแต่ก็นอนมิหลับ
สวีฉางหลิน ตาบ้านี่! เขาเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นและมิสนใจนางอีกต่อไป
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเองก็มิจำเป็นต้องไปเสนอหน้าเอาอกเอาใจ ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตของตนไปตามลำพังเถอะ
นางพลิกตัวไปมาอีกครั้งแล้วมองออกไปยังแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเปิดหน้าต่างออก พบกับพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า
โจวกุ้ยหลานถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วมองไปทางแสงจันทร์ เห็นร่างของใครคนหนึ่ง เดินไปรอบ ๆ ลานบ้าน เขาแบกดินเอาไว้ที่บ้า
มิรู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาก็หยุดลง
โจวกุ้ยหลานจึงรีบปิดหน้าต่างแล้วเอนกายหลับตา หลังจากนั้นมินาน นางก็สัมผัสได้ว่าสวีฉางหลินขึ้นมานอนอยู่บนเตียง เพียงแต่ในวันนี้เขามิได้กอดนางเหมือนดั่งเคย
เช้าวันต่อมาตอนที่โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นจากเตียง พบว่าสวีฉางหลินมิได้อยู่ที่นั่นแล้ว
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง จัดการล้างหน้าหวีผม ขณะที่นางเพิ่งจะทำอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ตรงประตู นางเดินออกไปและพบโจวต้าไห่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
โจวกุ้ยหลานน้ำอาหารเช้าออกมาให้โจวต้าไห่กิน ส่วนโจวคายจือช่วยโจวต้าไห่แบกหมูป่าสองตัวนั้นหลงเข้าไปวางที่เกวียน โจวกุ้ยหลานก็ตามไปด้วย เมื่อขึ้นเกวียนไปแล้วพวกเขาก็ตรงไปที่ในเมือง ส่งเนื้อหมูป่าไปขายที่โรงเตี๊ยมของไป๋ยี่เซวียน เมื่อได้เงิน ไป๋ยี่เซวียนก็ได้สนทนากับโจวกุ้ยหลานอยู่สองสามประโยค และมิรู้ว่าเข้าไปเหยียบดอกไม้ที่ไหนออกมายื่นให้โจวกุ้ยหลาน
“เถ้าแก่ไป๋ ดอกไม้ของท่านนั้นจะว่าสวยก็สวยนัก แต่มันมิเหมาะสมกับข้า” โจวกุ้ยหลานยิ้มแล้วส่ายหน้ามิรับ
ไป๋ยี่เซวียนมองดูดอกไม้ในมือแล้วชะงักลง เข้าใจว่าโจวกุ้ยหลานหมายถึงสิ่งใด เขาจึงหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ดอกไม้นี้ ลูกค้าเป็นคนให้มา ข้าเองที่ข้างกายก็มิมีสตรี จึงตั้งใจจะมอบให้ หากเจ้ามิเอา ข้าโยนทิ้งก็ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...