มิรู้ว่าเหตุใดข่าวสารจึงได้เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว นี่เพิ่งจะผ่านไปวันที่สาม เกรงว่าคนจากหมู่บ้านรอบข้างล้วนพากันเดินทางมากันสิ้น
“ถึงกระนั้นก็แลกมิได้ ต่อให้ทุบตีจนตายก็แลกมิได้เด็ดขาด หากอาหารเหล่านี้นำไปแลกกับพวกเขา แล้วคนในหมู่บ้านเราจะใช้ชีวิตเช่นไร มิได้เป็นแน่!”
บัดนี้หวังโหยวเกินดูหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม
หากบัดนี้มิยืนกรานพยายามเอาตัวรอด แล้วเมื่อไรเล่าจะถึงเวลา?
“ลุงโหยวเกิน หากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาล่ะก็ หมู่บ้านของพวกเราอาจจะต้องถูกรังแกและกดขี่จากหมู่บ้านทั้งหลาย แล้วพวกเราจะไปสู้กับหมู่บ้านมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
โจวกุ้ยหลานเอ่ยเตือนเขาอย่างไร้หนทาง
หวังโหยวเกินรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก เมื่อคิดว่าที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนรายล้อม ในใจของเขาก็รู้สึกแย่
บัดนี้คนที่เดินทางมามีจำนวนพอๆ กับคนในหมู่บ้านต้าสือแล้ว ที่จริงก็มิได้กลัวพวกเขา แต่หากว่าจะลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขากลับไปแล้วเอาเรื่องธัญพืชของหมู่บ้านต้าสือไปบอกคนอื่น คาดว่าคงจะมีคนมามากกว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้นคนในหมู่บ้านก็คงมิอาจรับมือไหว
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ต่อให้มิเต็มใจนัก ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่โจวกุ้ยหลานกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง
เมื่อคิดเรื่องธัญพืชต้องแบ่งไปให้หมู่บ้านอื่น หวังโหยวเกินก็รู้สึกกระวนกระวายใจ “แต่เราจะให้ธัญพืชกับพวกเขาใช้เช่นนี้เฉยๆ มิได้ หากพวกเรามิมีอาหารกินแล้วจะทำอย่างไร?”
ต่อให้รู้ว่านับจากนี้จะเกิดผลลัพธ์เช่นไรขึ้น เขาก็มิยินดีที่จะแลกธัญพืชเหล่านี้ออกไป คนจากหมู่บ้านต้าสือของเขาก็จะกินมิอิ่มน่ะสิ!
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ผู้คนในหมู่บ้านเราที่ต้องการแลกธัญพืช ก็ให้พวกเขาแลกก่อน หากยังมีธัญพืชเหลือพอ พวกเราค่อยเอาไปแลกกับพวกเขา ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”
โจวกุ้ยหลานบอกถึงความคิดเห็นของตนออกมา แล้วเอ่ยถามหวังโหยวเกิน
สำหรับนางแล้วนั้น คงจะชื่นชอบผืนนาอยู่ติดกันแล้วนำมาแลกเสียมากกว่า แต่หากหมู่บ้านอื่นต้องการจะมาแลก นางเองก็มิอาจห้ามได้ พวกโจรภูเขาคอยจับจ้องที่นี่ ก็มีเพียงมิกี่คน มิอาจต้านเอาไว้ได้เลย
หวังโหยวเกินรู้สึกมิพอใจ กล่าวว่าจะไปเจรจากับบรรดาผู้อาวุโสในหมู่บ้านถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็มิได้บีบบังคับเขา ปล่อยให้เขาทำตามที่ประสงค์
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของแต่ละคนดูหนักอึ้งเคร่งเครียด หัวหน้าหมู่บ้านอีกหลายคนพากันปลอบโยนคนในหมู่บ้านของตน หลังจากนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน เพื่อเจรจากับโจวกุ้ยหลาน ถึงเรื่องนี้
โจวกุ้ยหลานกล่าวได้เพียงว่า นางจะรอฟังผลการเจรจาปรึกษาจากหัวหน้าหมู่บ้านเสียก่อน ทุกคนจึงทำได้เพียงรอ
หลังจากรออยู่สักพัก หวังโหยวเกินจึงเดินออกมาพร้อมกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านอีกหลายคน สายตาเหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลาน และคนรอบข้าง สุดท้ายที่สุดแล้วเขาก็พยักหน้าอย่างจำใจ “หากเช่นนั้นให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านต้าสือแลกเปลี่ยนธัญพืชก่อน รอให้หมู่บ้านต้าสือแลกเสร็จแล้ว หมู่บ้านอื่นจึงจะแลกได้”
“เช่นนั้นมิได้! ประชาชนในหมู่บ้านต้าสือของพวกเจ้าหมีมากมายเท่าไหร่ หากทุกคนล้วนมาแลกเปลี่ยนหมด จะยังมีอาหารเหลือให้พวกเราหรือ เจ้ากำลังจะหลอกล่อให้พวกเราหลงกลสินะ?” ชายหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่งปฏิเสธขึ้นทันควัน
ชายอีกคนอายุมองไปได้หกสิบกว่าปี ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มิได้ ทำเช่นนี้มิได้ ต่อให้นางมีอาหารมากมายเท่าไหร่ ก็มิเพียงพอสำหรับคนในหมู่บ้านต้าสือหรอก”
“หากมิตกลง ทุกคนก็จงกลับไป นี่เป็นอาหารของหมู่บ้านต้าสือเรา พวกเจ้าคิดจะแย่งงั้นหรือ?” หวังโหยวเกินเองก็รู้สึกโมโห
เมื่ออยู่ต่อหน้าโจวกุ้ยหลาน เขาระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็เพราะอำนาจของนางและอาหารที่มี แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้านของต้าสือ เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านมาเนิ่นนาน เขาจะมิมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นของตนเองได้อย่างไร?
“เหตุผลนี้ของเจ้าใช้ได้ที่ไหน ในตอนนั้นที่พวกเจ้าประสบกับภาวะแห้งแล้ง หากมิใช่เพราะพวกเราเปิดเขื่อนให้พวกเจ้ามีน้ำใช้ คนในหมู่บ้านพวกเจ้าจะมีชีวิตจนถึงบัดนี้หรือ?”
“นั่นคือน้ำที่พวกเราซื้อมา เป็นน้ำที่มาจากหมู่บ้านพวกเจ้าและถูกพวกเจ้าเก็บกักเอาไว้เท่าไหร่ข้ามิอยากเอ่ยถึง แต่น้ำนั้นพวกเรา เสียเงินในการซื้อ!” หวังโหยวเกินก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะทะเลาะกันขึ้นมา โจวกุ้ยหลานจึงรีบยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ให้พวกเขาหยุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...