ก่อนหน้านี้มีอัคคีภัย ทางราชวังก็เข้ามาดูแลพวกเขา ในครั้งนี้คาดว่าก็คงเช่นกัน
“เช่นนั้นเจ้าก็จงแลกให้เพียงพอกับคนในครอบครัวของเจ้ากินเป็นเวลาหนึ่งปี หากถึงเวลามิเป็นตามนั้น หมู่บ้านของพวกเรายังพอมีพื้นที่รกร้างอยู่บ้างมิใช่หรือ พวกเราไปปรับหน้าดิน ก็สามารถนำมาใช้เพื่อการเพาะปลูกได้ดังเดิม”
หวังโหยวเกินกล่าว จากนั้นยกมือขึ้นโบกให้ทุกคนกลับไปบ้านของตนเอง
ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นมิใช่คนโง่ เพียงชั่วครู่ก็คิดได้ว่าพวกเขาจะแลกผืนนามากเกินไปหรือไม่ แล้วพากันขัดแย้งกันขึ้นมา
หัวหน้าหมู่บ้านที่เดิมทีถูกโน้มน้าวใจเป็นที่เรียบร้อยก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้เช่นกัน จึงรีบวิ่งไปหาหวังโหยวเกิน เมื่อได้ยินหวังโหยวเกินให้ทุกคำนวณธัญพืชที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนในหนึ่งปี พวกเขาก็โมโหในทันใด
“เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องแลกเปลี่ยนธัญพืชมากมายขนาดนั้น เกรงว่าจะเหลือไว้ให้พวกเราเยอะเกินไปหรือ?”
“พวกเจ้าแลกเปลี่ยนธัญพืชถึงหนึ่งปี แล้วพวกเราจะเหลืออะไร?”
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านพากันเอ่ยเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่สงบลงแล้วก็โวยวายอีกครั้ง ผ่านไปชั่วครู่ทุกคนก็พากันโวยวายด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิง หากปล่อยให้พวกเขาเป็นอย่างนี้ต่อไป คาดว่าคงจะลงไม้ลงมือกันอย่างแน่นอน
โจวกุ้ยหลานรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังโหยวเกิน ดึงชายเสื้อของหวังโหยวเกิน จากนั้นจึงมองไปยังหัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลาย
“เอาเช่นนี้ แต่ละวันพวกเขาจะนำมาแลกได้เพียงแค่หนึ่งผืน ส่วนที่เหลือก็ให้พวกเจ้าแรก สลับกันไปเช่นนี้ดีหรือไม่?”
หากว่าให้แต่ละบ้านเรือนแลกได้วันละหนึ่งผืนนา เช่นนี้ก็ดูมิเลว
หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านอื่นหารือกัน แล้วรู้สึกว่าเป็นไปได้ จึงได้กลับไปบอกเล่ากับลูกบ้านของตนอีกครั้ง แต่หวังโหยวเกินรู้สึกมิพึงพอใจนัก
แต่ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาเองก็มิอาจจะกล่าวสิ่งใดได้ ทำได้เพียงกลับไปหว่านล้อมคนในหมู่บ้านต้าสือ
คิดมิถึงว่าเมื่อมีคนจากหมู่บ้านอื่นเดินทางมาเช่นนี้ ผู้คนจากหมู่บ้านต้าสือที่กำลังนั่งดูสถานการณ์อย่างสงบกลับพากันลุกฮือขึ้นมา ผู้คนที่แลกธัญพืชไปแล้วจำนวนมิน้อยก็กลับมาเพื่อหวังจะแลกอีก ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าสือแต่ละครัวเรือนล้วนเดินทางมา เนื่องจากเกรงว่าพวกเขาจะมิมีโอกาสแลกธัญพืชอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ สีหน้าของผู้คนจากหมู่บ้านอื่นก็ดูมิดีนัก เนื่องจากมีผู้คนมากขึ้น หากว่าพันธุ์พืชหมดก่อนล่ะก็ พวกเขามิเดินทางมาเปล่าประโยชน์หรือ สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นก็คือ บัดนี้พวกเขามิมีอาหารจะกินแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือในถิ่นของคนอื่นเขา พวกเขาทั้งหลายมิอยากเอ่ยสิ่งใดได้ ทำได้เพียงภาวนาว่าจะเหลืออาหารเพียงพอสำหรับตน
เมื่อพวกเขาพากันเข้าแถว ทุกอย่างก็เป็นไปตามดังก่อนหน้า มีเพียงหวังโหยวเกินและหัวหน้าหมู่บ้านอื่นๆ ที่ทำสีหน้ามิดีนัก
ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูราบรื่นเช่นนี้ ภายในลานก็ได้มีแขกมิได้รับเชิญเดินทางมาคนหนึ่ง
ผู้ที่เดินนำมาก็คือจางเสี่ยวจุ๋ย สวมชุดสีแดงดูเบาสบาย ส่วนคนที่เดินตามหลังนางมานั้นก็คือบรรดาคนที่อาศัยช่วงโอกาสซึ่งโจวกุ้ยหลานมิอยู่เข้ามาแย่งชิงอาหารไป
เมื่อเหลือบมองเห็นพวกเขาเดินตรงเข้ามา หวังโหยวเกินก็ทำสีหน้ามิน่ามองกว่าเดิมเสียอีก
มิต้องรอให้โจวกุ้ยหลานกล่าวสิ่งใดออกมา เขาก็เดินตรงเข้าไปด้วยตนเอง แล้วจ้องมองชายเหล่านั้น ตะโกนด้วยความโมโหว่า “พวกเจ้ามาทำไม?”
“พี่หวังโหยวเกิน มิใช่ว่าพวกเรามิฟังความของท่าน แต่เพราะพวกเราแทบจะหิวตายอยู่แล้ว ท่านอยากจะเห็นพวกเราอดตายต่อหน้าต่อตางั้นหรือ?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นโบกไปมา แล้วกล่าวกับหวังโหยวเกิน
“นั่นสิ เพราะอะไรจึงต้องแบ่งอาหารไปให้แก่คนในหมู่บ้านอื่นด้วย เหตุใดมิให้พวกเราแลกอย่างเดียว อย่างน้อยพวกเราก็เป็นคนจากหมู่บ้านเดียวกัน!”
ชายอีกคนก็กล่าวขึ้นด้วยความโมโหด้วยเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...