นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 300

เสี่ยวเอ้อไม่สนใจนางและเชิญเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกับคนอื่นๆ มาที่ประตูของหอจู๋เฟิงก่อนจะกล่าวถึงกฎกติกาออกมาอย่างช้าๆ แล้วนำกลอนของหอจู๋เฟิงออกมา

"คุณหนูเฟิ่ง กลอนของเราบทแรกคือ สะพานสี่ทิศ ทิศทั้งสี่ของสะพาน ยืนอยู่ที่สะพานสี่ทิศมองไปทั้งสี่ทิศ สี่ทิศทิศทั้งสี่ทั้งสี่ทิศ"

กลอนบทนี้ชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเมื่อครู่ไม่อาจต่อมันออกมาได้ การที่เสี่ยวเอ้อทำเช่นนี้เพื่อต้องการจะบอกกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจนว่า พวกเขากระทำการการอย่างบริสุทธิ์ ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่พอใจและคับแค้นเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนใจกับกลอุบายเล็กๆ เหล่านั้น

เมื่อพบเข้ากับการท้าทายของเสี่ยวเอ้อ หญิงสาวที่นามว่าจิ้งเยวี่ยก็ทำใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ส่วนชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินนั้น นับว่าพอมีสติอยู่บ้าง เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนกำลังรอให้เฟิ่งชิงเฉินแต่งกลอนออกมา และดูเหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะต่อกลอนนี้เช่นไรดี

ด้วยดวงตาร้อนแรงแผดเผาโดยตรงเช่นนี้ ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่อยากเห็นก็คงไม่ได้

นี่มันเรื่องอะไรกัน นางมากินข้าวแท้ๆ กลับพบเจอเรื่องรำคาญใจได้ เมื่อมองไปพบว่าทั้งสองคนชายหนุ่มนั้นท่าทางกำยำ หญิงสาวท่าทางเย่อหยิ่ง มองไปไม่ธรรมดา เสื้อผ้าสวมใส่ดูหรูมีราคา บุคลิกที่แผ่ออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลูกหลานจากตระกูลธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องถามก็รู้ว่าพวกเขามีตัวตนซึ่งไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

หากว่าในวันนี้นางไม่สามารถต่อกลอนนี้ได้สำเร็จก็ยังดี หากว่านางต่อกลอนนี้สำเร็จได้ สองคนนี้คาดว่าคงจะอยากเขมือบนางลงไปทั้งตัว เพราะนั่นหมายความว่านางกำลังตบหน้าพวกเขาทั้งสองอยู่หรือ

แต่ดูเหมือนว่านางมักจะตบหน้าผู้อื่นอยู่เป็นประจำนี่ ดังนั้นกลอนบทนี้นางจะต้องคิดให้ดี

เมื่อพบว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน ในใจของบ่าวรับใช้ทั้งสองก็รู้สึกร้อนรนกังวลยิ่ง หากว่าคุณหนูไม่อาจต่อกลอนได้ก็คงจะขายหน้า พวกนางอยากจะเข้าไปช่วยเหลือเกิน แต่ว่า......

กลอนบทนี้พวกนางก็ไม่อาจต่อได้เช่นกัน

"คุณหนูเจ้าคะ" สาวรับใช้กระซิบเตือนขึ้นว่า "คุณหนูเจ้าคะ หอจู๋เฟิงให้เวลาเพียงหนึ่งเล่มธูป บัดนี้ผ่านไปครึ่งเล่มธูปแล้ว หากยังไม่อาจต่อกลอนได้ก็ไม่อาจเข้าไปด้านในได้เช่นกัน"

"ข้าเข้าใจแล้ว" เฟิ่งชิงเฉินพยายามรวบรวมสมาธิแล้วมองไปที่กลอนบทแรก นางเม้มปากแล้วเดินไป

กลอนบทนี้ต่อยากจริงๆ ......

"ท่านพี่ เห็นหรือไม่นางเองก็ไม่อาจต่อกลอนนี้ได้เช่นกัน ข้าบอกแล้วว่าคนของหอจู๋เฟิงตั้งใจจะทำให้พวกเราต้องอับอาย เดิมทีข้าคิดว่าสตรีที่เดินทางมารับประทานอาหารที่ห่อจู๋เฟิงล้วนเป็นผู้มีความสามารถเสียอีก ที่แท้ก็มีพวกรากหญ้าเหล่านี้เข้ามาปนอยู่ด้วย" สตรีชุดสีชมพูเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่อาจต่อกลอนได้จึงได้เยาะเย้ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ

รากหญ้า? ความหมายของแม่นางผู้นี้ก็คือผู้ใดที่ไม่อาจต่อกลอนได้ก็คือพวกรากหญ้าอย่างงั้นหรือ แล้วพวกเขาทั้งสองคนเล่า? เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าแล้วแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเป็นคนจากจวนใดกันที่อบรมเลี้ยงดูบุตรหลานได้โง่เง่าเพียงนี้

"จิ้งเยวี่ย อย่าได้กล่าวไร้สาระไป" ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินตะคอกออกมา แต่ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเอ็นดู

เฟิ่งชิงเฉินเดินตรงเข้าไปพิจารณามองดูสองพี่น้องคู่นี้ พบว่าทั้งสองคนรูปร่างสูงเพรียว ดวงตาทั้งคู่ลึกล้ำจมูกโด่ง มองดู คาดว่าไม่ใช่คนจากทางราชวงศ์ตงหลิงอย่างแน่นอน

ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหันมายิ้มให้กับเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางขอโทษ แต่สตรีผู้เย่อหยิ่งนั้นกลับหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ทว่าเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ถือสา นางยิ้มแล้วหันกลับไป นางไม่อยากหาเรื่องและไม่อยากจะสนทนากับทั้งสองคนนี้อีก

แต่บ่าวรับใช้สองคนที่ตามหลังเฟิ่งชิงเฉินมากลับรู้สึกไม่พออกพอใจ พวกนางก้าวไปด้านหน้า ตั้งใจจะตำหนิออกมาแต่กลับถูกเฟิ่งชิงเฉินรั้งเอาไว้ "ข้าต่อกลอนได้แล้ว"

"คุณหนูเจ้าคะ ต่อกลอนได้แล้วหรือ?" บ่าวรับใช้ทั้งสองนางได้ยินดังนั้นก็ดีอกดีใจแล้วนำเรื่องจะตำหนิสองพี่น้องเมื่อครู่ สลัดทิ้งไป

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า เสี่ยวเอ้อรีบนำพู่กันและกระดาษมาให้ "เชิญคุณหนู"

"เอ่อ......" เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่พู่กันและกระดาษ นางตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน

ดูเหมือนว่าตัวอักษรของนางจะน่าเกลียดจนแทบทนไม่ไหว จดหมายที่นางเขียนไปให้กับหวังจิ่นหลิง นางให้คนอื่นเขียนแทน ส่วนนี่...... หากนางจะเขียนตัวหนังสือออกมาและแทบไม่เป็นระเบียบ คาดว่าคงจะอับอายขายหน้าพอควร

"ต่อกลอนได้แล้วไม่ใช่หรือ รีบเขียนเร็วเข้าสิ!" จิ้งเยวี่ยเห็นเฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน นางจึงได้รบเร้า บ่าวรับใช้ทั้งสองคนของเฟิ่งชิงเฉินหันไปเหลือบจ้องมองนางทันควัน

เสี่ยวเอ้อไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพราะถึงอย่างไรเวลาหนึ่งเล่มธูปที่ให้ก็ยังไม่ครบกำหนด

ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังสับสนอยู่ว่าจะเขียนตัวอักษรลงไปดีหรือไม่ น้ำเสียงของหวังจิ่นหลิงก็ดังขึ้นจากด้านหลังว่า "ชิงเฉินเจ้ากล่าวออกมาก็พอ แล้วข้าจะช่วยเจ้าเขียนเอง"

เมื่อกล่าวจบ หวังจิ่นหลิงก็เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางสง่างาม เขาถือพู่กันจุ่มน้ำหมึก ใบหน้ายิ้มแย้ม

"คุณชายใหญ่!" เสี่ยวเอ้อรีบเข้าไปทำความเคารพ

"คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่มาที่นี่!"

"คุณชายใหญ่จริงๆ คุณชายใหญ่เดินทางมาที่หอจู๋เฟิง เร็วๆ รีบออกไปดู!" เมื่อคนในหอจู๋เฟิงได้ยินเสียงของเสี่ยวเอ้อ แต่ละคนก็พากันตะโกนออกมาแล้วรีบวิ่งไปด้านหน้า ทันใดนั้นที่ปากประตูของหอจู๋เฟิงก็เต็มไปด้วยผู้คน เบียดเสียดสองพี่น้องเมื่อครูให้ไปอยู่ด้านข้าง

"สวัสดีขอรับคุณชายใหญ่!"

"คารวะคุณชายใหญ่!"

......

เสียงเอ่ยทักทายเริ่มดังขึ้น หวังจิ่นหลิงมีมารยาทและสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เขาหันไปตอบทีละคนจนกระทั่งรอบกายเต็มไปด้วยผู้คน แต่เมื่อหวังจิ่นหลิงส่งสายตามองไปมักจะให้ความรู้สึกว่าในตาของเขามีแต่อีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นเพียงผู้เดียว ต่อให้หวังจิ่นหลิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดมาแม้แต่คำเดียว ก็ไม่มีใครสักคนรู้สึกว่าพวกเขาถูกละเลย

หวังจิ่นหลิงดูเหมือนจะเหมาะสมยิ่งนักที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ หากว่าเขายินดีล่ะก็แม้แต่องค์ชายหรือต่ำต้อยถึงพวกกบฏ ล้วนยินดีอยากจะเป็นมิตรกับเขา

"ท่านพี่ คนนี้คือหวังจิ่นหลิงหรือ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังน่ะหรือ?" จิ้งเยวี่ยพยายามเบียดเสียดกับฝูงชนเข้าไป ดวงตาทั้งคู่ของนางมองไปที่หวังจิ่นหลิงอย่างไม่ลดละ

"ได้ยินพวกเขาเรียกเช่นนั้น คาดว่าคงไม่ผิดเพี้ยน นอกเสียจากคุณชายใหญ่ตระกูลหวังแล้วไม่มีผู้ใดจะสง่างามเทียบเท่าในใต้หล้า" ชายหนุ่มที่สวมชุดสีน้ำเงินมองไปด้วยสายตาชื่นชม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ